วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ความขัดแย้งตุรกี-ไอซิส: กรกฎาคม 2015 กับภาวะตึงเครียด ณ ชายแดน


ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่การประกาศก่อตั้ง Islamic State of Iraq and Greater Syria หรือ ISIS  ขึ้นมา ก็มีข้อสงสัยมากมายจากหลายฝ่ายต่อองค์กรนี้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เห็นชัดคือ การปฏิบัติการที่สร้างความกลัวให้เกิดทั่วโลก ด้วยการยกเอาศาสนามาเป็นข้ออ้างในการก่อความรุนแรง ซึ่งก่อนหน้านี้มีหลายฝ่ายพยายามเชื่อมโยงว่าตุรกีมีความสัมพันธ์ที่ดีและอาจช่วยเหลือกลุ่มไอซิส เนื่องจากเห็นว่าตุรกีแสดงจุดยืนคัดค้านบัชชารและให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ชาวซีเรียที่ได้รับผลกระทบจากกลุ่มของบัชชารมาอย่างต่อเนื่อง แน่นอนว่าข้อกล่าวหานี้ได้รับการปฏิเสธจากรัฐบาลตุรกีในการแสดงจุดยืนต่อต้านการก่อการร้ายทุกรูปแบบเสมอมา แม้ว่ามีข้อมูลที่ชัดเจนสิ่งหนึ่งว่า ตุรกีเป็นจุดเชื่อมต่อของผู้ที่ต้องการเดินทางเข้าสู่ซีเรียเพื่อร่วมกับไอซิซ  อย่างไรก็ดี ด้วยกับภูมิรัฐศาสตร์ที่อยู่ใกล้เคียงทำให้หากปฏิบัติการใดลงไปแล้วก็จะเกิดความเสี่ยงต่อการถูกโจมตี หรือ การเผชิญหน้ากันด้วยความรุนแรง การดำเนินนโยบายของตุรกีต่อไอซิสนั้นจึงต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวัง  ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลตุรกีเองก็เริ่มมีนโยบายในการต่อต้านไอซิสชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะการปิดเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับไอซิสทั้งหมด ขณะเดียวกันไอซิสเองก็โจมตีรัฐบาลตุรกี ผ่านสื่อนิตยสารของกลุ่ม โดยระบุว่ารัฐบาลตุรกีนั้นให้ความช่วยเหลือกับเคิร์ดและมีแนวทางในแบบตะวันตก
แม้ว่าตลอดช่วงเวลาที่เกิดความไม่สงบในซีเรียก็มีความตึงเครียดกัน ณ บริเวณชายแดนอยู่ตลอดมา แต่เหตุการณ์เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ในกรณีสุสานสุไลมานชาห์ นับเป็นครั้งแรกที่ตุรกีเริ่มแสดงทีท่าอย่างชัดเจนในการต้านไอซิส เมื่อสุสานที่มีธงชาติตุรกีปักอยู่ ซึ่งถือว่าเป็นพื้นที่อาณาเขตหนึ่งของตุรกีที่อยู่ในพื้นที่ซีเรีย ได้มีความเสี่ยงต่อการคุกคาม ทำให้ตุรกีตัดสินใจเคลื่อนทหารเข้าไปปฏิบัติการเคลื่อนย้ายสุสานนี้ออกมาให้อยู่ใกล้กับเขตแดนของตุรกีมากขึ้นเพื่อความสะดวกต่อการดูแล
ความสัมพันธ์อันซับซ้อนนี้มีตัวแสดงสำคัญอีกหนึ่งกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ก็คือ ชาวเคิร์ด ซึ่งชาวเคิร์ดในเมืองโคบานี่ของซีเรีย ได้ปฏิบัติการทางทหารและยึดพื้นที่ปกครองกับกลุ่มไอซิส นับตั้งแต่ปีที่แล้วเป็นต้นมา ในหลายครั้ง กระทั่งทำให้เคิร์ดในตุรกีเองก็เรียกร้องให้รัฐบาลตุรกีสนับสนุนเคิร์ดในโคบานี่ในการต่อสู้กับไอซิส ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการสร้างความเชื่อมั่นของเคิร์ดต่อความจริงใจของรัฐบาลตุรกีในกระบวนการสันติภาพที่กำลังดำเนินไประหว่างตุรกี กับกลุ่ม PKK ซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธเคิร์ดในตุรกี อย่างไรก็ดี ตุรกีเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีที่ชัดนักในช่วงเวลานั้น

การปะทุของความขัดแย้งกรกฎาคม 2015
ความขัดแย้งกรกฎาคม 2015 นี้เกิดขึ้นที่เมือง Suruç ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเขตแดนตุรกี-ซีเรีย ในระหว่างการรวมตัวกันประท้วงของกลุ่มชาวเคิร์ดและกลุ่มฝ่ายซ้าย ที่ Amara Cultural Park ก็มีการระเบิดฆ่าตัวตายขึ้น ส่งผลให้มีคนเสียชีวิตอย่างน้อย 30 คน และมีผู้บาดเจ็บกว่า 100 คน ต่อมาทางการตุรกีได้ระบุผู้ที่ก่อการว่าเป็นชาวเคิร์ดคนหนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับไอซิส ชื่อว่า Seyh Abdurrahman Alagoz


หลังจากเกิดเหตุการณ์ครั้งนี้ ชาวเคิร์ดทั่วประเทศไม่พอใจและออกมาประท้วงต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น กลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดก็ได้ฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจชาวตุรกีสองคน เพื่อเป็นการล้างแค้นในกรณี ซึ่งชาวเคิร์ดมองว่าเป็นเพราะความผิดของรัฐบาลที่ไม่ยอมช่วยเหลือชาวเคิร์ดในโคบานี่เพื่อต่อต้านไอซิส ขณะเดียวกัน พรรค HDP ซึ่งได้รับเสียงจากชาวเคิร์ดในการเลือกตั้งที่ผ่านมาก็ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการบางอย่างต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แน่นอนว่าหลังจากเหตุการณ์ ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาประณามการก่อการร้ายครั้งนี้ทันที
ขณะเดียวกัน ในบริเวณชายแดนก็เกิดความตึงเครียดมากยิ่งขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ทหารตุรกีหนึ่งคนได้เสียชีวิต และอีกสองคนได้รับบาดเจ็บระหว่างการปะทะกันในเมือง Kilis ของซีเรีย



หลังจากนั้น มีข่าวที่ระบุถึงการเจรจากันระหว่างโอบามาและประธานาธิบดีแอรโดก์อาน สืบเนื่องจาก ข้อเสนอในการใช้พื้นที่ของตุรกีเป็นฐานทัพทางอากาศในการส่งกองกำลังเข้าไปปราบปรามไอซิสสหรัฐฯมองว่าเป็นภัยคุกคามโลก อย่างไรก็ตามตุรกีได้ไม่ให้คำตอบใดๆ ในระยะเวลาที่ผ่านมา จนในครั้งนี้ ตุรกีได้ยอมที่จะให้ฐานทัพบริเวณ Incırlık ให้แก่สหรัฐฯ หากจะใช้ปฏิบัติการหากแต่ต้องให้ตุรกีได้รับรู้และมีสิทธิคัดค้านในปฏิบัติการ



ในส่วนของตุรกีเอง ได้แสดงท่าที่คัดค้านที่ชัดเจนขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุที่ต้องการหยุดกระแสความโกรธของชาวเคิร์ด หรือ การปฏิบัติการเพื่อหยุดภัยคุกคามต่อความมั่นคงของตุรกี เอง ทางรัฐบาลตุรกีได้ออกปฏิบัติการจับกุมผู้ที่มีหลักฐานว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อการร้าย 251 คน ไม่ว่าเป็นกลุ่ม ISIS กลุ่ม PKK (the Kurdistan Workers Party) และกลุ่ม DHPK-C (the Revolutionary People's Liberation Party-Front) ที่กระจายไปทั่วทั้งตุรกี ขณะเดียวกันก็ได้ปฏิบัติการทางอากาศจากฐานทัพอากาศ Dıyarbakır ไปสู่ซีเรีย ซึ่งส่งผลให้มีสมาชิกไอซิสเสียชีวิตอย่างน้อย 35 คน

สิ่งที่น่าสนใจของเหตุการณ์ครั้งนี้

สิ่งที่น่าสนใจจากกรณี คือ ท่าทีของตุรกีที่แข็งกร้าวขึ้นต่อไอซิส และการยินยอมให้สหรัฐ เข้ามาในครั้งนี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศตุรกีในฐานะประเทศที่กำลังก้าวเป็นผู้นำของประเทศมุสลิมต้องสั่นคลอนหรือไม่ อย่างไรก็ดี หากวิเคราะห์บนฐานการมองแบบสัจจนิยมแบบใหม่แล้ว การปฏิบัติการของตุรกีต่อไอซิสเป็นสิ่งที่คาดการณ์ได้ว่าจะต้องเกิดขึ้น เนื่องจากอยู่ในเขตชายแดนใกล้เคียงและถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อประเทศ การยอมให้สหรัฐฯเข้ามาก็ถือได้ว่าหาผู้ปฏิบัติการร่วม ที่ตุรกีเองก็ไม่ต้องการจะติดอยู่กับสงครามนี้นานจนเกินไปและต้องสูญเสียกำลังทางทหารของตนเองมากเกินไป แม้ว่าหากพิจารณาถึงศักยภาพทางทหารที่ตุรกีติดอยู่ในอันดับที่ ของโลกแล้วก็สามารถดำเนินการได้เอง ขณะเดียวกันในปฏิบัติการครั้งนี้ก็อาจเป็นการแสดงจุดยืนทางภาพลักษณ์ที่ตุรกีถูกกล่าวหาว่าให้การสนับสนุนกลุ่มไอซิส ตลอดจนแสดงความจริงใจของชาวเคิร์ดในฐานะที่เป็นพลเมืองของรัฐเช่นเดียวกันซึ่งจะเกิดประโยชน์ต่อกระบวนการสันติภาพเติร์ก-เคิร์ด แม้ว่าการจับกุมกลุ่ม PKK ก็อาจส่งผลต่อความไม่พอใจได้ แต่เพื่อระงับความรุนแรงภายในที่เกิดขึ้นและมีความเสี่ยงจะเกิดขึ้นจึงต้องจับกุมกลุ่มติดอาวุธในทุกฝ่ายในประเทศอย่างเท่าเทียม ตลอดจนเพื่อคุมอำนาจของกลุ่ม PKK ที่เริ่มกลับมาใช้กำลังมากขึ้น ขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงศักยภาพทางทหารของตุรกีเองให้กับอิหร่านที่เริ่มมีอิทธิพลในภูมิภาคมากยิ่งขึ้น

สิ่งที่น่าติดตามต่อไปก็คือ ท่าทีของกลุ่มติดอาวุธต่างๆ โดยเฉพาะ PKK และ ไอซิส ที่จะมีต่อตุรกีหลังจากนี้ รวมไปถึงท่าทีของสหรัฐฯ ที่จะเข้ามามีบทบาทต่อกรณีไอซิสนี้อย่างไร




วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตุรกี-จีน-ไทย กับประเด็นปัญหาอุยกูร์เติร์ก



ในช่วงนี้ อีกหนึ่งปรากฏการณ์ที่ทำให้หลายฝ่ายให้ความสนใจกับประเด็นอุยกูร์เติร์กในไทยหลังจากที่เงียบหายไปนับตั้งแต่หนึ่งปีที่ผ่านมา เมื่อได้พบกลุ่มชาวอุยกูร์เติร์กจำนวนหนึ่งอยู่ในป่า และกลุ่มเหล่านี้ก็ได้ถูกกักกันตัว เพื่อพิสูจน์สัญชาติ ที่พวกเขาต่างอ้างว่าเป็นชาวตุรกี

หากตั้งคำถามเบื้องต้นที่หลายคนสงสัย ก็คงจะเป็นอุยกูร์เติร์กนี่คือใครกัน?
ชาวอุยกูร์เติร์ก เป็นมุสลิมเชื้อสายเติร์ก ซึ่งยังคงรักษาวัฒนธรรมและอัตลักษณ์ที่คล้ายคลึงกับชาวตุรกีในปัจจุบัน หากแต่ว่าชาวอุยกูร์เติร์กนี้ได้อาศัยอยู่ในพื้นที่ซินเจียงของจีน ที่ซึ่งพวกเขาเองเรียกว่าเป็น เตอร์กิสถานตะวันออก ด้วยความต่างที่มี แต่ถูกผนวกรวมเข้ากับจีน ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวอุยกูร์เติร์กกับจีนจึงเกิดขึ้นเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ได้เข้ามาปกครองประเทศ และใช้นโยบายผสมกลมกลืน รวมถึงกดทับ อัตลักษณ์เดิมที่มีความต่างจากจีนโดยทั่วไปเป็นทุนเดิมของชาวอุยกูร์เติร์ก โดยพยายามที่จะยัดเหยียดความเป็นจีนให้กับคนเหล่านี้ และปิดกั้นเสรีภาพในเรื่องการประกอบศาสนกิจ ภายใต้แรงกดเช่นนี้ จึงทำให้กลุ่มเคลื่อนไหวที่ต้องการปลดแอกพื้นที่นี้ให้เป็นอิสระเริ่มมีจำนวนที่มากขึ้นและเห็นชัด จนเกิดการปะทะกันเป็นความรุนแรงอยู่บ่อยครั้ง ครั้งหนึ่งที่เป็นความรุนแรงเด่นชัด คือ ในปี 2009 ก็เกิดการปะทะครั้งใหญ่ขึ้นที่ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และถือเป็นจุดเริ่มต้นความรุนแรงระลอกใหม่ที่ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน[1] ขณะเดียวกันนับตั้งแต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ 9-11 ขึ้นก็ทำให้มีการอ้างว่ากลุ่มเคลื่อนไหวชาวอุยกูร์เติร์กในจีนนี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับอัลกออิดะหฺ จนทำให้เกิดกระแสความหวาดกลัวเพิ่มขึ้นแก่สังคมจีน



ด้วยภาวะเช่นนี้ โดยเฉพาะการถูกห้ามจากการประกอบศาสนกิจ ทำให้ชาวอุยกูร์เติร์กหลายคนเริ่มแสวงหาที่พักพิงแห่งใหม่ให้กับพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นปากีสถานที่เป็นประเทศใกล้เคียง รวมไปถึงประเทศในแทบเอเชียกลาง หรือ ตะวันออกกลาง แน่นอนว่าประเทศหนึ่งที่เป็นเป้าหมายก็คือ ตุรกี ซึ่งเป็นพื้นที่หลักที่ชาวอุยกูร์เติร์กได้ย้ายถิ่นไปนับตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งตุรกีได้ส่งเครื่องบินไปรับชาวอุยกูร์เติร์กมาจากอัฟกานิสถานที่พวกเขาเดินเท้าอพยพออกมา จำนวนกว่า 200 คน แม้ว่าก่อนหน้านี้ในช่วงปี 1933-34 ตุรกีจะรับ Isa Yusuf Alptekin หัวหน้าของเตอร์กิสถานที่อพยพเข้ามาก่อนแล้ว นับแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีการอพยพของชาวอุยกูร์เติร์กมาสู่ตุรกีตลอดมา[2] สิ่งหนึ่งที่มีร่วมกันที่ทำให้ตุรกียอมรับก็เนื่องจากความเป็นเชื้อสายเติร์กที่มีอยู่เหมือนกัน และยิ่งชัดเจนขึ้นภายหลังจากเกิดเหตุการณ์จลาจลปี 2009 ที่จำนวนผู้อพยพเริ่มสูงขึ้น และเป็นช่วงเวลาที่พรรครัฐบาลสายอิสลามได้บริหารประเทศ ซึ่งได้ประกาศจุดยืนชัดเจนในการประณามจีนในเวลานั้น ประกอบกับรัฐบาลพรรคอัคมีนโยบายในการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและให้การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมแก่ประเทศมุสลิมและประเทศยากไร้เป็นทุนหนุนเสริมที่ทำให้ตุรกีกลายเป็นเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้นของชาวอุยกูร์เติร์กที่ต้องการอพยพ และด้วยประเด็นนี้ทำให้ตุรกีกับจีนเองแม้ว่าจะมีความสัมพันธ์ในด้านอื่นๆ ด้วยดี แต่ก็ยังคงเรียกร้องพร้อมประณามรัฐบาลจีนทุกครั้งหากมีการกดขี่ต่อชาวอุยกูร์เติร์กเกิดขึ้น

แล้วเหตุใดไทยจึงมาเกี่ยวข้อง?
สืบเนื่องจากเมื่อปีที่แล้วที่มีข่าวว่าพบกลุ่มคนไม่ทราบสัญชาติเดินทางเข้าเมืองไทยมาในขณะที่กำลังค้นหากลุ่มอพยพชาวโรฮิงญา เมื่อได้มีการกักกันตัวไว้ แล้วสอบสวน กลุ่มคนเหล่านี้ก็ได้อ้างตัวว่าเป็นชาวตุรกี ที่ต้องการเดินทางไปยังตุรกี และหลังจากนั้นจึงเป็นที่แน่ชัดว่าเป็นชาวอุยกูร์เติร์ก ภายหลังจากนั้น ไทยก็กักตัวกลุ่มเหล่านี้ไว้ก่อนที่จะดำเนินการต่อไป โดยตุรกีได้ออกรับว่าตุรกีเองพร้อมที่จะรับกลุ่มนี้เข้าสู่ตุรกี แต่ทางการจีนก็ได้ยื่นข้อเสนอว่าขอให้ไทยส่งตัวกลับ กระบวนการเจรจาต่อรองเป็นไปด้วยระยะเวลาหนึ่ง กระทั่งเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 58 ไทยได้ส่งชาวอุยกูร์เติร์กจำนวน 173 คนไปยังตุรกี โดยที่ส่วนมากเป็นเด็กและผู้หญิง ซึ่งได้สร้างความประทับใจและความสบายใจมากขึ้น ที่เหตุการณ์กำลังดำเนินไปด้วยดี ตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลที่ผู้อพยพมีสิทธิร้องขอไปยังประเทศที่สามได้ หากมองว่าการกลับคืนสู่ประเทศเดิมนั้นจะเกิดภัยคุกคามต่อความปลอดภัยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน แต่เมื่อกลางดึกของวันที่ 8 กรกฎาคม 58 ก็มีข่าวการประท้วงของชาวอุยกูร์เติร์กในตุรกีหน้าสถานกงสุลใหญ่กิตติมศักดิ์ในอิสตันบูล เนื่องจากความไม่พอใจที่รัฐบาลไทยได้ส่งคนจำนวนกว่า 109 คน ซึ่งมีผู้หญิงและเด็กรวมอยู่ด้วย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ชาย กลับไปจีนอย่างลับๆ ด้วยเครื่องบินของกองทัพ ในวันต่อมา ก็ได้เกิดเป็นประเด็นขึ้นจนรัฐบาลไทยออกมาระบุว่าได้ส่งกลับประเทศจีน เนื่องจากผ่านการพิสูจน์สัญชาติแล้วว่ากลุ่มนี้เป็นชาวจีน ในขณะที่กลุ่มก่อนหน้านี้นั้นเป็นกลุ่มที่ไม่มีความผิดใดๆ ตามกฎหมายและประสงค์เดินทางไปตุรกี ซึ่งการประท้วงจึงขยายไปสู่สถานทูตไทยในตุรกี แม้ว่าจะไม่ได้มีความรุนแรงเฉกเช่นที่เกิดขึ้นที่สถานกงสุลก็ตาม[3]  



ผลจากการส่งกลับครั้งนี้เป็นอย่างไร?
แน่นอนว่าตัวละครต่างๆ ต่างก็มีผลสะท้อนที่ต่างกันไป เริ่มจากไทยเองที่ยืนยันว่าการส่งตัวผู้อพยพกลับจีนนั้นเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะกระบวนการพิสูจน์สัญชาติออกมาเป็นเช่นนี้ และระบุว่าจีนจะรับรองความปลอดภัย ซึ่งส่วนนี้ก็เป็นที่วิพากษ์ว่าอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการที่รัฐบาลไทยเองต้องการที่จะเอาใจจีนมากขึ้น เพราะต้องการมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้น ซึ่งหากส่งตัวทั้งหมดไปยังตุรกีก็อาจทำให้จีนเองไม่พอใจ

ท่าทีของฝ่ายจีน แม้จะเรียกร้องว่ากลุ่มหนึ่งเป็นกลุ่มที่ทางจีนต้องการตัว แต่หลังจากการส่งตัวกลับก็ยังไม่มีปฏิกิริยาใดจากจีน นอกจากการรับรองความปลอดภัยกับผู้ที่ไม่ได้กระทำความผิดและยินดีที่จะให้มีผู้แทนในการติดตามผล

ส่วนท่าทีของตุรกี กระทรวงต่างประเทศของตุรกีได้ออกประณามการกระทำของรัฐบาลไทยในครั้งนี้ โดยมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่แม้ทราบว่าการส่งคนกลับไปจะเป็นอันตรายต่อชีวิต แม้ตุรกีจะยินดีรับไว้แล้วก็ตามและจะติดตามประเด็นนี้อย่างใกล้ชิด[4] แต่ขณะเดียวกันประธานาธิบดีแอร์โดอานเองก็ออกมาระบุว่าไม่เห็นด้วยกับการบุกรุกสถานกงสุลของไทยและทุกคนคือแขกของประเทศ[5] เอกอัครราชทูตตุรกีประจำประเทศไทยก็ยืนยันที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับชาวไทยในตุรกี[6] อย่างไรดี ท่าทีของตุรกีในครั้งนี้ก็อาจมีความเกี่ยวข้องกับการเมืองที่กำลังเป็นไปในประเทศไม่น้อย เมื่อกลุ่มขบวนการชาตินิยมตุรกีเองก็มีการเข้าร่วมสนับสนุนประท้วงจีนที่เกิดขึ้นก่อนหน้าไม่นานมานี้ และการช่วยเหลือชาวอุยกูร์เติร์กในก่อนหน้านี้ก็ทำให้กลุ่มชาตินิยมที่เป็นอีกกลุ่มซึ่งพรรคอัคเล็งว่าจะดึงเข้ามาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในรัฐบาลผสมพอใจไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของตุรกีเองก็ตาม อย่างไรก็ตามในแง่ความสัมพันธ์ไทยตุรกีในประเด็นอื่นนั้นยังไม่ได้รับผลกระทบอันใด

นอกจากนี้แล้วยังมีท่าทีที่ออกมาจากองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น UNHCR, Human Rights Watch[7] และสภาอุยกูร์เติร์กโลก[8] ที่ออกมาแสดงความกังวลและมองว่าไทยกำลังทำสิ่งที่ขัดกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนสากล รวมไปถึงสหรัฐอเมริกาเองที่ออกมาแสดงความกังวลนี้ และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยไม่เนรเทศเชิงบังคับผลักไสชาวอุยกูร์เติร์กเหล่านั้นออกนอกประเทศอีก[9] ท่าทีของสหรัฐฯในครั้งนี้ออกมาเพื่อที่จะแสดงจุดยืนที่ค้านต่อจีนด้วยเช่นกัน แม้ว่าสหรัฐเองก็ไม่ได้มีท่าทีที่เป็นมิตรนักต่อตุรกีก็ตาม



สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้ถือว่าทำให้ภาพลักษณ์ของไทยนั้นเสียหายไม่ใช่น้อย อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้สิ่งที่ไทยต้องพิสูจน์หากจะเรียกความเชื่อมั่นกลับมา นั่นคือ กระบวนการติดตามผลที่จีนได้เสนอไปนั้นไทยจะต้องมีการติดตามอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดการต่อส่วนที่เหลือในประเทศให้เป็นไปตามกรอบสิทธิมนุษยชนสากล

อย่างไรก็ดี สถานการณ์ของคนไทยในตุรกีนั้นก็อาจไม่น่าเป็นห่วงมากนักแม้ว่าจะต้องมีการติดตามอย่างใกล้ชิดก็ตาม แต่เมื่อมีกระบวนการตกลงตลอดจนการแถลงจุดยืนในการต้อนรับแขกอย่างให้เกียรติของประธานาธิบดีแล้วก็เป็นเสมือนการแสดงท่าทีของตุรกีในเรื่องของความปลอดภัยในตุรกีเช่นกัน ขณะเดียวกันนอกจากการประณามแล้ว ก็ยังไม่มีสถานการณ์ที่ชัดเจนของตุรกีนักต่อไทย เพราะไทยเองในสถานการณ์นี้ก็เปรียบเสมือนกับคนกลาง แต่หากไทยยังคงดำเนินการที่ซ้ำรอยในอนาคตก็อาจสร้างความไม่พอใจได้มากขึ้น






วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตุรกีกับความช่วยเหลือเพื่อสันติภาพในพื้นที่ขัดแย้งสามจังหวัดชายแดนภาคใต้/ปาตานี


          นโยบายต่างประเทศของตุรกีในยุครัฐบาลยุติธรรมและการพัฒนา หรือ พรรคอัค ปัจจุบันนี้ สิ่งที่เห็นเด่นชัดประการหนึ่งคือการเน้นในการให้ความช่วยเหลือในด้านสิทธิมนุษยชน และเน้นบทบาทการเข้าไปมีส่วนร่วมในฐานะคนกลาง หรือ แสดงบทบาทของฝ่ายที่สาม (Third Party) ที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับหลายพื้นที่ขัดแย้ง ประกอบกับแนวคิดของพรรคที่เน้นหนักในการขยายอิทธิพลพร้อมกับความรู้สึกของการเป็นประเทศผู้ปกครองของมุสลิมนับตั้งแต่ออตโตมานในอดีตยังคงหลงเหลืออยู่ในเหล่าผู้นำมุสลิมในประเทศ ฉะนั้นไม่แปลกที่จะเห็นว่าพื้นที่การให้ความช่วยเหลือของตุรกีนั้นจะเน้นในพื้นที่ขัดแย้งที่มีชาวมุสลิมอยู่และหลายครั้งก็อิทธิพลของความเป็นเติร์กก็ยังคงเห็นได้เด่นชัดในการเข้าไปมีส่วนร่วมในกรณีความขัดแย้งในพื้นที่ที่มีชาวเติร์กอาศัยอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตะวันออกกลาง เอเชียกลางและแถบประเทศบอลข่าน
นายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ดาวุดโอวฺลู (Davutoğlu) ได้แสดงความเห็นว่า เขตแดนและการแบ่งแยกทางการเมืองนั้นเป็นเพียงสิ่งไม่จริงที่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง ฉะนั้นแนวทางที่จะแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะสามารถจัดการได้เมื่อมองในองค์รวมทุกระดับของปัญหาพร้อมกับการยอมรับในการร่วมมือต่อการสร้างสันติภาพจากตัวแสดงท้องถิ่นรากหญ้าเท่านั้น[1] จากแนวคิดลักษณะนี้ ตุรกีได้แสดงบทบาทในหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นบทบาทการเป็นคนกลาง (Mediator) และ ผู้อำนวยความสะดวก (facilitator) ทั้งในแง่ของการเจรจาของคู่ขัดแย้งหลักในหลายๆ กรณี เช่น ในกรณีของฟิลิปปินส์ ที่ตุรกีเองก็มีส่วนร่วมในการเป็นหนึ่งในคนกลางครั้งนี้ เป็นต้น และการเปิดโอกาสให้เป็นพื้นที่หลักของพูดคุยหารือแนวทางการช่วยเหลือประเทศต่างๆ เช่น ในกรณีของการเป็นพื้นที่กลางที่นักกิจกรรมทั่วโลกที่ต้องการช่วยเหลือซีเรีย หรือ ปาเลสไตน์ ในการมารวมตัว เป็นต้น รวมถึงความพยายามในการให้ความช่วยเหลือทางด้านสิทธิมนุษยชนและการสร้างพื้นฐานที่สำคัญของสังคมที่จะช่วยหนุนเสริมกระบวนการสันติภาพ ซึ่งบทบาทที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นบทบาทที่มีทั้งในลักษณะของการให้ความช่วยเหลือผ่านรัฐบาลตุรกีโดยตรงและผ่าน INGOs และ NGOs หลักในประเทศ 
บทบาทเหล่านี้ตุรกีได้แสดงอย่างค่อนข้างเด่นชัด กระทั่งอาจมองได้ว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางของการกระจายอำนาจและสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ หากมองตามที่ Nye ได้นำเสนอความคิดแล้วก็อาจกล่าวได้ว่าการแสดงบทบาทในการช่วยเหลือเพื่อสร้างสันติภาพในพื้นที่ขัดแย้งเหล่านี้เป็นการใช้อำนาจอ่อน (Soft Power) ของตุรกีเอง[2] แน่นอนว่าการใช้อำนาจลักษณะนี้ไม่ได้ส่งผลต่อผลประโยชน์ของประเทศโดยตรง หากแต่จะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเป็นการให้ความช่วยเหลือที่จะเอื้อต่อผลประโยชน์ของประเทศโดยอ้อมจากผลที่ตามมา เช่น หากมีภาพลักษณ์ที่ดี หรือ หากในประเทศนั้นๆ สามารถคลี่คลายปัญหาความไม่สงบได้แล้ว ก็จะมีทัศนคติในเชิงบวก และอาจส่งผลต่อความร่วมมือในด้านอื่นๆ ต่อไปได้ เป็นต้น
ในบริบทของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้/ ปาตานี เอง ตุรกีก็ได้เข้าไปมีบทบาทในการให้ความช่วยเหลือ  แม้ว่าจะยังคงมีอยู่ในระดับที่ไม่มากนักและยังไม่เป็นทางการหากเปรียบเทียบกับอีกหลายพื้นที่ แต่ก็ถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือจากต่างประเทศที่มีข้อเด่นในการที่เห็นเป็นรูปร่างชัดเจนและเข้าถึงประชาชนรากหญ้าได้ค่อนข้างมาก
การให้ความช่วยเหลือของตุรกีต่อสามจังหวัดชายแดนภาคใต้/ ปาตานี โดยหลักแล้วจะดำเนินผ่านองค์กรพัฒนาเอกชนของประเทศตุรกี ที่เห็นเด่นชัดที่สุด คือ มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชน เสรีภาพและการช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรม หรือ อีฮาฮา (İnsan Hak ve Hürriyetleri ve İnsani Yardım Vakfı İHH) ซึ่งเป็นองค์กรที่เน้นให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติและขาดแคลนต่างๆ ทั่วโลก ผ่านงบประมาณที่มาจากการบริจาคโดยตรง ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในองค์กรที่มีการทำงานอย่างเห็นชัดและมีประสิทธิผล การทำงานของอีฮาฮาต่อพื้นที่นั้นโดยหลักแล้วจะร่วมมือกับองค์กรเอกชนในพื้นที่ที่ทางองค์กรได้คัดเลือกและเล็งเห็นว่าสามารถทำงานได้เห็นผลเมื่อได้รับการช่วยเหลือไปแล้วและเป็นองค์กรที่สามารถเข้าถึงประชาชนรากหญ้าได้ อีฮาฮาได้เน้นให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ในสามเรื่องหลัก[3] คือ
1. ด้านการศึกษา  ซึ่งได้สนับสนุนในการสร้างโรงเรียน 1 แห่ง ในพื้นที่อ.ยะหริ่ง หรือ โรงเรียนบูรณาการศึกษาวิทยา โดยที่การสนับสนุนในครั้งนี้เป็นการช่วยเหลือที่ให้ทางโรงเรียนมีการดูแลบริหารการเรียนการศึกษา โดยคนในพื้นที่เอง ในบริเวณโรงเรียนยังมีพื้นที่สำหรับหอพัก และส่วนที่กำลังพัฒนาพื้นที่ต่อไปเรื่อยๆ



2. ด้านการช่วยเหลือเด็กกำพร้า ซึ่งได้สนับสนุนการสร้างศูนย์เด็กกำพร้าร่วมกับมูลนิธิพัฒนาชุมชนเป็นสุข จำนวน 2 แห่ง คือสถาบันศึกษานูรุลญีนานเพื่อเด็กกำพร้าและเยาวชนทั่วไป (Miyasetenis Yetimhanesi) ใน อ.สายบุรี จ. ปัตตานี และ สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอัสสาอาดะห์ (Furkan Emre Kesik Yetimhanesi) ใน อ.ตากใบ จ.นราธิวาส และมีโครงการที่จะพัฒนาและเพิ่มจำนวนในพื้นที่อื่นๆ อีกต่อไป ขณะเดียวกันก็มีโครงการในการทำโปสการ์ด[4]เพื่อให้ผลทางจิตใจแก่เด็กกำพร้าเหล่านั้น




3. ด้านอื่นๆ เช่น การเลี้ยงละศีลอด การมอบเนื้อวัวเพื่อการทำกุรบ่านแจกแก่ชาวบ้านทั่วไป หรือ การให้ความช่วยเหลือในด้านยามประสบภัยพิบัติ เช่น การให้ความช่วยเหลือด้านของใช้ที่จำเป็นพร้อมทั้งข้าวสารอาหารแห้งเมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา
นอกจากอีฮาฮาแล้ว ยังมีอีกหลายองค์กรที่ได้เริ่มเข้าสู่พื้นที่เพื่อให้การช่วยเหลือ เป็นรายกรณี โดยเฉพาะการบริจาควัวเพื่อการทำกุรบ่าน หรือ การบริจาคเพื่อเล้ยงละศีลอดในเดือนรอมฎอน องค์กรเหล่านี้ อาทิ เช่น Turkiye Diyanet Vakfı, Cansuyu Yardımlaşma ve Dayanışma Derneği, Deniz Feneri, Kızılay, Kimse Yok mu Derneği เป็นต้น[5] ในที่นี่แทบจะเรียกได้ว่าเกือบจะทุกองค์กรเอกชนหลักๆ ของตุรกีได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่
ในส่วนของภาครัฐเองนั้นยังไม่มีแนวทางการให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการ นอกเสียจากผ่านการให้ความช่วยเหลือในด้านการให้ทุนการศึกษามาศึกษาต่อยังประเทศตุรกีที่มีการคัดเลือกตัวแทนนักเรียนนักศึกษาจากในพื้นที่มาศึกษาต่อยังประเทศตุรกี
เหล่านี้ล้วนเป็นเพียงส่วนหนึ่งของกิจกรรมที่เห็นได้ชัด ที่จะเห็นได้ว่าเน้นการพัฒนาและช่วยเหลืออย่างค่อนข้างเป็นรูปธรรม แน่นอนว่าการดำเนินกิจกรรมในลักษณะนี้ส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ดีและทัศนคติแง่บวกของผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือจากประเทศตุรกี แต่อย่างไรก็ดีในส่วนของตุรกีเองนั้นยังมีความเข้าใจต่อปัญหาในพื้นที่ได้อย่างไม่ชัดเจน หลายครั้งที่การนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเรื่องราวในพื้นที่ปาตานีนั้นเป็นไปด้วยความไม่ชัดเจนและมีแนวโน้มในการเน้นนำเสนอแต่บางส่วนที่เน้นความรุนแรงของปัญหาในแง่เดียว อุปสรรคที่ชัดเจนอาจด้วยการสื่อสารที่ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่เมื่อลงไปยังพื้นที่ในหลายครั้ง
แนวโน้มของความคาดหวังในหลายภาคส่วนต่อบทบาทของตุรกีในพื้นที่ รวมทั้งความคาดหวังของตุรกีเอง ก็อาจจะเป็นการให้ความช่วยเหลือในลักษณะเดียวกับที่ได้ช่วยแก่กรณีกระบวนการสันติภาพบังซาโมโรในฟิลิปปินส์ นั่นคือ การเป็นฝ่ายที่สามที่เข้าไปช่วยเหลือในกระบวนการพูดคุยและเจรจา เนื่องด้วยการที่เป็นหนึ่งในประเทศมุสลิมที่สำคัญในการเมืองโลกปัจจุบัน และเป็นประเทศที่มีผลงานประจักษ์ในการทำงานในพื้นที่ขัดแย้งอื่นๆ รวมถึงการมีกิจกรรมที่ปรากฏให้เห็นในพื้นที่ แต่อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดที่แตกต่างของบริบทความขัดแย้ง รวมถึงความเข้าใจต่อปัญหา ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ไม่สามารถมองข้ามได้ หากแต่ตุรกีเองเริ่มมีความพยายามในการสร้างความเข้าใจต่อพื้นที่มากขึ้นเช่นกัน (ผู้เขียนเริ่มเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงในการนำเสนอข่าวที่มีความเข้าใจต่อบริบทพื้นที่มากขึ้น) อย่างไรก็ดี ณ เวลานี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า กระแสของการเติบโตในการสร้างภาพลักษณ์ที่น่าชื่นชมของตุรกีต่อมุสลิมบางส่วนทั่วโลกก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ทำให้การยอมรับการช่วยเหลือของตุรกีต่อพื้นที่เป็นไปในเชิงบวก แม้ว่าในปัจจุบันการให้ความช่วยเหลือของตุรกีต่อพื้นที่ปาตานีมีข้อเด่นที่เน้นให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนรากหญ้าอย่างแท้จริง แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดที่เน้นการทำงานเฉพาะกลุ่มและไม่กระจายสู่ระดับบนมากนัก ซึ่งในส่วนนี้อาจจะมีแนวโน้มที่จะเห็นการพัฒนาความช่วยเหลือต่อกระบวนการสันติภาพที่กระจายมากขึ้นต่อไป






[1] Ahmet Davutoğlu, Stratejik Derinlik: Türkiye’nin Uluslararası Konumu, İstanbul, Küre Yayınları, 2001.
[2] Nye, Joseph S. Jr. 2004. Soft Power: the Means to Success in World Politics. New York: Public Affairs.
[3] ประมวลจากการพูดคุยกับตัวแทนจากอีฮาฮาที่รับผิดชอบในพื้นที่ปาตานีโดยตรง และองค์กรต่างๆที่ได้รับความช่วยเหลือ
[4] เป็นโครงการของกลุ่ม  BirŞeyYap ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของเยาวชนรุ่นใหม่ที่เป็นอาสาสมัครภายใต้การทำงานขององค์กรสิทธิมนุษยชนใหญ่องค์กรหนึ่งของตุรกี ซึ่งก็คือ IHH Humanitarian Relief Foundation เยาวชนเหล่านี้ก็เป็นเยาวชนที่มาจากหลากหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาหรือนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ได้ใช้เวลาว่างจากหน้าที่หลักมาเรียนรู้งานจากองค์กรหลัก และคิดโครงการกันขึ้นมาเอง 
            โครงการเล็กๆที่เริ่มกันของกลุ่มนี้คือ การทำโปสการ์ด เพื่อที่จะให้แก่เด็กกำพร้าที่อยู่ภายใต้องค์กรแม่ที่พวกเขาทำงานให้ เนื่องจากพวกเขาเล็งเห็นว่าหลายครั้งการช่วยเหลือไม่ใช่แค่การให้เงิน หากแต่เป็นการช่วยเหลือทางด้านจิตใจด้วยเช่นกัน จากความตั้งใจเล็กๆ นี้ เริ่มค่อยๆ ขยายเป็นรูปเป็นร่างขึ้น จากเพียงแค่โปสการ์ดเริ่มพัฒนาเป็นโปสการ์ดที่ติดมาด้วยปฏิทิน ที่มีรูปภาพที่อาสาสมัครเหล่านั้นได้ถ่ายขึ้นมาเองในขณะไปช่วยงานในพื้นที่ต่างๆ และเริ่มขยายด้วยการมีรายละเอียดเล็กๆที่แทรกภายในขึ้นมา ว่าโปสการ์ดเหล่านั้นที่ส่งไปให้กับเด็กกำพร้าคนไหน สามารถส่งกลับเพื่อมีการติดต่อกับเด็กคนนั้นอย่างต่อเนื่องได้ ทางกลุ่มเริ่มขยายการทำงานด้วยการสร้างเครือข่ายความร่วมมือกับองค์กรตุรกีที่มีเด็กนักศึกษาต่างชาติรวมตัวกัน เพื่อที่จะหาอาสาสมัครสำหรับการแปลโปสการ์ดเหล่านั้นให้เป็นภาษาที่เด็กกำพร้าในแต่ละพื้นที่สามารถเข้าใจได้
            ขณะเดียวกัน โครงการนี้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์มากขึ้น การทำโปสการ์ดเล็กๆ นี้จึงได้พัฒนากลายเป็นโครงการที่เมื่อคนที่ได้รับโปสการ์ดแล้วในขณะที่ส่งกลับ ก็สามารถบริจาคและเงินบริจาคเหล่านี้ทั้งหมดจะนำไปสมทบทุนให้แก่โครงการการสร้างโรงเรียนเด็กกำพร้าในพื้นที่ปัตตานี
[5] ตามข้อมูลจากเพจเฟสบุคหลักของทุกองค์กรและจาก http://www.aksiyon.com.tr/dosyalar/turkiye-dunyayi-kurban-la-sevindirdi_536849