วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ปรากฏการณ์คลื่นความรุนแรงและการเปลี่ยนผ่านในการเมืองระหว่างประเทศตุรกี


ยาสมิน ซัตตาร์ 


ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ประเด็นเรื่องราวตุรกีอาจมีความน่าสนใจมากขึ้นอีกครั้ง โดยเฉพาะจากการเผชิญกับความรุนแรงที่มาจากการก่อการร้ายจากรอบด้าน ซึ่งในรอบ 7 เดือนที่ผ่านมา มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในอิสตันบูลเมืองเดียวถึง 6 ครั้ง และครั้งล่าสุด จากการยิงกราดและระเบิด ณ สนามบินนานาชาติอตาเติร์ก เมื่อค่ำวันที่ 28 มิถุนายน 2559 นับได้ว่าส่งผลสะเทือนมากที่สุด เนื่องจากมีจำนวนผู้ได้รับผลเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ตุรกีต้องเผชิญกับการก่อการร้ายจากกลุ่มดาอิช ซึ่งนายกรัฐมนตรีตุรกีออกมาระบุว่าเป็นผู้กระทำการครั้งนี้ หลังจากนั้นก็มีการเปิดเผยสัญชาติของผู้ก่อการว่าเป็นชาวรัสเซีย ชาวอุซเบกิสถาน และชาวคีกีซสถาน จากเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่ประชาคมโลกต่างตั้งคำถามต่อปฏิกิริยาที่มีต่อเหตุการณ์รุนแรงที่ไม่เท่าเทียมกันกับกรณีความรุนแรงในปารีส หรือ บรัสเซล อย่างไรก็ตามหลังจากเหตุการณ์มีการไว้อาลัยจากหลายประเทศที่ส่งเสียงให้กับตุรกี สถานที่สำคัญๆหลายแห่งในโลกได้แสดงสัญญะธงชาติตุรกี





คำถามที่สำคัญคือ ตอนนี้ตุรกีกำลังเผชิญกับอะไร เหตุใดตุรกีซึ่งในช่วงสิบปีที่ผ่านมาสามารถก้าวมาสู่จุดที่สำคัญของโลกและภูมิภาคต้องมาสะดุดลง ในบทความชิ้นที่แล้วผู้เขียนได้วิเคราะห์ไว้บ้างแล้ว เพื่อให้เห็นภาพรวมของการเมืองตุรกีในวันนี้ หากแต่ในห้วงเดือนที่ผ่านมามีความเคลื่อนไหวที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนผ่านของการเมืองระหว่างประเทศตุรกีที่มีผลจากการเมืองภายในประเทศเองอย่างมีนัยยะสำคัญหลายประการ นับตั้งแต่หลังจากการลาออกของอดีตนายกรัฐมนตรีดาวุดโอก์ลู และได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ ที่เป็นสัญญาณของความอ่อนในระบบรัฐสภาของตุรกี และเริ่มปูทางสู่การเปลี่ยนประเทศไปสู่ระบอบประธานาธิบดี การเปลี่ยนผ่านของการเมืองภายในเช่นนี้ ยิ่งตอกย้ำการใช้อำนาจของประธานาธิบดีแอรโดอานที่ถูกตั้งคำถามมากขึ้น ขณะเดียวกันการเมืองภายในของตุรกียังต้องเผชิญกับความรุนแรงที่มาจากกลุ่มติดอาวุธ PKK ของชาวเคิร์ดซึ่งกลับเข้าสู่ภาวะของการใช้ความรุนแรงอีกครั้งหลังจากที่กระบวนการสันติภาพถูกทำลายลง ในช่วงที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียและตุรกีที่กลายเป็นศัตรูหลังจากเป็นมิตรทางการค้าที่สำคัญหลังจากที่ตุรกียิงเครื่องบินรัสเซียตกก็ส่งผลกระทบต่อการค้าและการท่องเที่ยวระหว่างสองประเทศ แน่นอนว่าเป็นผลให้ตุรกีต้องเผชิญกับปัญหาทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ขณะเดียวกันความรุนแรงในซีเรียและอิรัก และการเกิดขึ้นรวมถึงการตอบสนองของตุรกีต่อดาอิชในช่วงที่ผ่านมาก็เป็นที่ตั้งคำถาม ภาวะที่ตุรกีเผชิญในช่วงปีที่ผ่านมานั้นคือ ความอิหลักอิเหลื่อของสถานะที่ตุรกียืนในเวทีภูมิภาค ขณะเดียวกันยังเป็นความย้อนแย้งของการแนวคิด Strategic Depth ของตุรกีที่มองว่าตุรกีควรปราศจากปัญหากับเพื่อนบ้าน และใช้จุดยุทธศาสตร์ของตัวเองให้เกิดประโยชน์ แต่เมื่อสถานการณ์การเมืองในภูมิภาคเปลี่ยนแนวคิดและปัจจัยดังกล่าว กลับกลายเป็นเครื่องมือทิ่มแทงตุรกีเสียเอง

อย่างไรก็ตาม ในห้วงเดือนที่ผ่านมา มีความพยายามสำคัญ ที่น่าสนใจในจุดยืนของตุรกีในเวทีระหว่างประเทศคือ ตุรกีเริ่มพยายามปรับจุดยืนและยุทธศาสตร์ความสัมพันธ์กับหลายประเทศให้กลับไปเป็นแบบเดิม นั่นคือ การร่วมมือเชิงสร้างสรรค์กับเวทีโลก จากที่ช่วงหนึ่งตุรกีถูกสถานการณ์ทั้งภายในและภายนอกบีบให้ต้องแสดงบทบาทโดดเดี่ยวจากหลายประเทศ ตุรกีเริ่มมีความพยายามมากขึ้นกับกรณีการเข้าเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปและแลกเปลี่ยนประเด็นการเปิดวีซ่าฟรีสำหรับชาวตุรกีในการเดินทางเข้าประเทศในอียูกับประเด็นผู้ลี้ภัย แต่อย่างไรก็ตามก็ยังคงอยู่ในจุดที่ไม่สามารถบรรลุผลได้เนื่องด้วยปัญหาของมาตรฐานที่ไม่ตรงกับที่สหภาพยุโรปต้องการ ซึ่งประธานาธิบดีตุรกีเองก็ระบุว่าเป็นเงื่อนไขที่สถานะและจุดที่ตุรกีอยู่ไม่อาจทำได้ ฉะนั้นแล้ว ตุรกีเองก็เริ่มกลับสู่การสร้างความสัมพันธ์กับอียูอย่างสร้างสรรค์อีกครั้ง ขณะเดียวกัน ตุรกีเองก็เริ่มกลับมาปรับความสัมพันธ์กับสองประเทศที่มีปัญหาต่อกันมากที่สุด นั่นคือ อิสราเอลและรัสเซีย

 สำหรับกรณีอิสราเอลนั้น ตุรกีลดระดับความสัมพันธ์นับตั้งแต่หลังจากเรือช่วยเหลือทางมนุษยธรรมของตุรกีถูกยิงและมีนักเคลื่อนไหวชาวตุรกีเสียชีวิต แต่ตุรกีกลับมาค่อยๆ ปรับความสัมพันธ์อีกครั้ง เนื่องจากมองว่าจะเป็นหนทางหนึ่งที่สามารถเอื้อต่อกันในเชิงเศรษฐกิจและเปิดช่องให้ตุรกีเข้าไปมีส่วนในการช่วยเหลือชาวปาเลสไตน์ได้ง่ายขึ้น โดยการปรับความสัมพันธ์ในครั้งนี้อยู่บนฐานของเงื่อนไขสามข้อที่อิสราเอลตกลง คือการขอโทษต่อตุรกี การจ่ายเงินชดเชยให้กับครอบครัวของเหยื่อผู้ได้รับผลกระทบและการอนุญาตให้ตุรกีส่งความช่วยเหลือเข้าไปในกาซ่าผ่านด่าน Ashdod แต่การปรับความสัมพันธ์นี้ก็สร้างความไม่พอใจให้กับหลายฝ่ายในตุรกี โดยเฉพาะกลุ่มองค์กรเคลื่อนไหวเพื่อช่วยเหลือสิทธิมนุษยชนที่ใหญ่ที่สุดในตุรกี นั่นคือ IHH แต่ก็หลายฝ่ายในองค์กรเองก็เข้าใจในเป้าประสงค์ของรัฐบาลเอง

สำหรับกรณีของรัสเซียนั้น หลังจากที่ยิงเครื่องบินรัสเซียตกนั้น ตุรกีซึ่งคาดการณ์ว่าจะได้รับการสนับสนุนจากนาโต้กลับถูกโดดเดี่ยวให้เผชิญกับผลลัพธ์เอง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจตุรกีเป็นอย่างมาก กระทั่งประธานาธิบดีแอรโดอานยอมออกมาขอโทษ และปูตินเองก็ขอโทษกลับมา ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีต่อการปรับความสัมพันธ์ หลังจากการขอโทษนั้นก็ทำให้การตกลงทางเศรษฐกิจเริ่มกลับมาอีกครั้ง และปูตินก็ประกาศยกเลิกการห้ามชาวรัสเซียเข้ามาท่องเที่ยวในตุรกี รวมถึงแผนการพบปะระหว่างรัฐมนตรีระหว่างประเทศของทั้งสองประเทศก็กลับมามีขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ขณะเดียวกันนั้น ตุรกียังขยายความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่คงความสัมพันธ์ที่ขยายตัวมากขึ้นกับภูมิภาคแอฟริกาในช่วงตุรกีมีความสัมพันธ์ห่างเหินกับรัสเซียเอาไว้ รวมถึงรักษาความสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศบอลข่านและอิหร่านไว้

ฉะนั้นแล้ว ในแง่ยุทธศาสตร์การเมืองระหว่างประเทศ อาจกล่าวได้ว่า ตุรกีเริ่มหันกลับไปใช้แนวทางเดิมในการสร้างความสัมพันธ์เชิงรุกแบบสร้างสรรค์กับนานาประเทศอีกครั้ง แม้ว่าจะมีข้อวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ไม่พอใจกับแอรโดอาน ฝ่ายที่ไม่พอใจกับนโยบายแบบใหม่ ฝ่ายที่ไม่พอใจกับท่าทีของตุรกีที่ดูเหมือนจะเป็นที่ยอมรับและประสบความสำเร็จในเชิงเศรษฐกิจมากขึ้น ฝ่ายที่ไม่พอใจกับรัฐบาลแนวทางอิสลาม ฝ่ายที่ไม่พอใจกับการตอบโต้ด้วยความรุนแรงต่อชาวเคิร์ด หรือฝ่ายที่ไม่พอใจต่อการดำเนินนโยบายแบบระมัดระวังในกรณีดาอิชก็ตาม แต่ข้อท้าทายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ตุรกีจำเป็นต้องเผชิญแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ และตุรกีจำเป็นต้องสร้างความมั่นใจกลับมา ไม่ว่าจะต่อประชาชนในประเทศเอง หรือนานาประเทศ ว่าตุรกีมีความสามารถเพียงพอที่จะก้าวข้ามข้อท้าทายเหล่านี้ หนึ่งในแนวทางประกาศความสามารถของตุรกีเอง ก็คือการเลื่อนการเปิดสะพานข้ามทวีปแห่งที่สามให้หลังจากเกิดเหตุการณ์สองวัน ซึ่งอาจสะท้อนสัญญะเล็กๆ ของศักยภาพตุรกีที่แม้เผชิญกับข้อท้าทายมากมายแต่ยังสามารถพัฒนาประเทศต่อไปได้นั่นเอง


หากประเมินแบบทั่วไปแล้ว ก็อาจมองได้ว่า ภายหลังจากนี้ ตุรกีอาจกลับเข้าสู่รูปแบบการดำเนินนโยบายลักษณะเดียวกับก่อนเกิดเหตุการณ์ท้าทายต่างๆ ซึ่งหมายรวมถึงการรื้อฟื้นกระบวนการสันติภาพต่อเคิร์ดขึ้นมาใหม่ เพื่อไม่ให้ตุรกีเผชิญกับศัตรูจากภายในเอง ขณะเดียวกันก็อาจเห็นแนวทางการดำเนินต่อดาอิชที่ชัดเจนขึ้น  รวมถึงการวางยุทธศาสตร์เรื่องผู้ลี้ภัยใหม่ที่เป็นระบบขึ้น อย่างไรก็ตามหากมีข้อท้าทายใหม่ๆ ในภูมิภาคโดยเฉพาะต่อเหตุการณ์ในซีเรีย ก็อาจส่งผลให้สถานะของตุรกีก็จะมีความเปราะบางเช่นนี้ต่อไปได้ แต่หากมองในเชิงเศรษฐกิจ จากความพยายามที่ผ่านมาและปรับความสัมพันธ์กับประเทศคู่ค้าสำคัญแล้วนั้น ก็จะช่วยเสริมฐานเศรษฐกิจของประเทศให้เข้มแข็งได้ ฉะนั้นแล้วการคาดการณ์ว่าบริบทของตุรกีจะเป็นเฉกเช่นเดียวกับประเทศตะวันออกกลางหลายๆ ประเทศนั้น อาจต้องมีปัจจัยเสริมที่มากกว่านี้ หากพิจารณาเพียงแค่สถานการณ์ปัจจุบันก็อาจกล่าวได้ว่า ยังคงยากที่จะไปสู่จุดเดียวกันนั้น 

วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

เกิดอะไรขึ้นกับตุรกีในวันนี้ ?

ยาสมิน ซัตตาร์


หลายคนอาจสงสัยว่า เหตุใดในช่วงเวลาไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ตุรกีเกิดเหตุการณ์ระเบิดฆ่าตัวตายบ่อยครั้ง นับตั้งแต่เหตุการณ์ระเบิดในเมืองอังการ่าในเดือนตุลาคม ต่อมาก็บริเวณข้างๆ สุลต่านอะห์เม็ตในเดือนมกราคม ตามมาด้วยการระเบิดในเขตทหารที่อังการ่าในเดือนกุมภาพันธ์ และสองเหตุการณ์ล่าสุดในเดือนมีนาคม ไม่ว่าจะเป็นระเบิดในเมืองอังการ่าและไม่ถึงหนึ่งอาทิตย์ถัดมาก็เป็นเหตุระเบิดในบริเวณทักซิม เมืองอิสตันบูล เหตุการณ์ที่ผ่านมาล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดคำถามว่า เกิดอะไรขึ้นกับตุรกีในวันนี้ ทำไมถึงมีเหตุการณ์เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ตุรกีกำลังเผชิญกับความไม่มั่นคงในรูปแบบใด แล้วตัวแสดงไหนบ้างที่เกี่ยวข้อง
หากสรุปในเบื้องต้น เหตุการณ์เหล่านี้ ไม่ได้เป็นการกระทำจากกลุ่มเดียว แต่เกี่ยวข้องกับสองกลุ่มหลักคือ กลุ่มดาอิช และ กลุ่ม PKK ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธของชาวเคิร์ด อาจเรียกได้ว่าความรุนแรงระลอกใหม่นี้นับเป็นผลกระทบจากสงครามกลางเมืองที่ตุรกีได้รับอย่างแทบหลีกเลี่ยงได้ยาก  ฉะนั้นการทำความเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องเห็นถึงที่มาที่ไปของความขัดแย้งของตุรกีกับทั้งสองส่วนก่อน  

ตุรกีกับดาอิช: ความขัดแย้งจากการเมืองที่ซับซ้อนในภูมิภาค
เนื่องด้วยการขยายอิทธิพลของดาอิช หรือ กลุ่มที่รู้จักกันในนามไอซิซ (the Islamic State of Iraq and al-Sham (ISIS)) ที่ขยายปฏิบัติการในพื้นที่ซีเรียและอิรัก และกลายเป็นตัวแสดงที่เป็นที่รู้จักกันในเวทีโลก ในฐานะกลุ่มก่อการร้ายที่มีปฏิบัติการที่โหดเหี้ยม และยังมีงบประมาณหนุนมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก ดาอิชค่อยๆ เติบโตขึ้นท่ามกลางสงครามกลางเมืองในซีเรียที่นับวันจะยิ่งรุนแรงและเหมือนจะหาทางยุติได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นปฏิบัติการที่มาจากรัฐบาลบัชชารของซีเรีย ที่สังหารประชาชนของตนเองไปเป็นจำนวนมาก บวกกับปฏิบัติการของดาอิช ขณะเดียวกัน ยังมีตัวแสดงมหาอำนาจอื่นๆ ที่เข้ามามีบทบาทในพื้นที่ ทำให้เหตุการณ์ยิ่งมีความซับซ้อนขึ้นไป สำหรับจุดยืนของตุรกีต่อดาอิช ในช่วงแรก แม้ว่าตุรกีจะไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนในเชิงปฏิบัติการ แต่ตุรกีนับเป็นประเทศแรกที่ยอมรับสถานะการเป็นผู้ก่อการร้ายสำหรับดาอิช ขณะเดียวกัน ตุรกีก็ยังเป็นประเทศที่ยอมรับผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามในซีเรียให้เข้ามาในประเทศมากที่สุด
หลายคนอาจวิพากษ์ว่าตุรกีให้การสนับสนุนกลุ่มดาอิช ไม่ว่าจะเป็นข้ออ้างของรัสเซีย หรือนักวิเคราะห์จากตะวันตกหลายคน ที่เห็นว่า ตุรกีอาจมีส่วนช่วยสนับสนุนการปฏิบัติการของดาอิช แต่หากมองในมุมของตุรกีแล้ว นักวิเคราะห์อีกหลายคน ระบุว่า เป็นไปได้ยากที่จะเหมารวมว่าจุดยืนของตุรกีนั้นสนับสนุนดาอิช แต่สิ่งที่ตุรกีทำคือ แสดงบทบาทที่ช้าไป เนื่องจากอาจมองว่าในเวลานั้นดาอิชเป็นกลุ่มที่สามารถรับมือกับกลุ่มเคิร์ดในอิรักและซีเรียได้ ขณะเดียวกันก็ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะให้ตุรกีเข้าไปเล่นในเกมส์ที่ตุรกีจะต้องเสี่ยงมากที่สุด เนื่องจากอยู่ในพื้นที่ที่ใกล้มากกว่า ชาติอื่นๆ ที่เข้าไปแสดงบทบาทในซีเรีย แต่เมื่อเหตุการณ์เริ่มที่จะกระทบต่อความมั่นคงของตุรกี ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เรื่องหลุมฝังศพสุไลมาน ชาห์ ที่เป็นอาณาเขตของตุรกีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ตุรกีจึงเริ่มแสดงสัญญะในการส่งทหารเข้าไป ต่อมาเมื่อเกิดเหตุระเบิดในเมืองดิยาบาคึรและเมืองซูรุชในเขตชาวเคิร์ด ภายใต้อาณาเขตของตุรกี ทำให้ตุรกีจึงเริ่มปฏิบัติการตอบโต้อย่างจริงจังนับตั้งแต่การยินยอมให้สหรัฐฯใช้ฐานทัพอากาศ İncirlik และ Diyarbakır และหลังจากโดนโจมตีจากดาอิชในเขตจังหวัด Kilis ทำให้ตุรกีเริ่มปฏิบัติการทางทหารต่อดาอิช และเริ่มจับกุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับดาอิชอย่างจริงจัง  
เนื่องจากตุรกีเป็นประเทศที่อยู่ติดกับพื้นที่นี้ จึงแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะกลายเป็นพื้นที่ให้สมาชิกดาอิชใช้ในการเดินทางเข้าสู่ซีเรีย ทำให้ตุรกีกลายเป็นหนึ่งในเป้าหมายของดาอิชได้เช่นกัน ดาอิชมีปฏิบัติการตอบโต้อีกหลายครั้ง โดยเฉพาะในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับชาวเคิร์ดที่เป็นหนึ่งในศัตรูของดาอิชด้วยเช่นกัน และขณะเดียวกันการเลือกพื้นที่เป้าหมายบางครั้งก็เป็นพื้นที่ที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของตุรกีโดยรวม นอกจากนั้นในวารสารของดาอิชที่ชื่อว่า Konstantiniyye ก็ระบุว่าอิสตันบูลยังเป็นเป้าหมายที่ดาอิชต้องการจะขยายอาณาเขตการปกครอง เนื่องจากความสำคัญทางบริบททางประวัติศาสตร์และศาสนา และขณะเดียวกันยังโจมตีรัฐบาลตุรกีที่แม้ตะวันตกจะมองว่ามีแนวคิดแบบอิสลามิสต์แล้วนั้น ว่าเป็นกบฏต่อศาสนา
ในเดือนตุลาคม 2015 เกิดเหตุการณ์ระเบิดขณะที่มีการเดินขบวนเพื่อเรียกร้องสันติภาพ ในอังการ่า โดยดาอิชรับว่าเป็นปฏิบัติการของดาอิช ต่อมาเหตุการณ์ที่สุลต่านอะห์เม็ต และ ล่าสุดที่ทักซิม ก็ล้วนเป็นปฏิบัติการที่มีความเชื่อมโยงกับดาอิช

ความขัดแย้งเติร์ก-เคิร์ด กับ ความรุนแรงระลอกใหม่
หากย้อนกลับไปมองในช่วงเวลามีนาคมปี 2013 ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ที่ตรงกับช่วงเทศกาล Nevruz ซึ่งเป็นเทศกาลเข้าสู่ปีใหม่ของชาวเอเชียกลาง รวมถึงชาวเคิร์ดด้วยเช่นกัน ในปีนั้น Öcalan หัวหน้ากลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดได้ออกมาประกาศยุติการใช้กำลังและเริ่มเข้าสู่การพูดคุยสันติภาพ หากแต่คำประกาศในวันนั้น เดือนมีนาคมปี 2016 กลับกลายเป็นเพียงอดีตเท่านั้น
ความขัดแย้งระหว่างชาวเคิร์ดและชาวเติร์กนั้น เริ่มเห็นได้ชัดนับตั้งแต่ช่วงสงครามเพื่อปลดตุรกีให้เป็นอิสระ เมื่อสามารถตั้งเป็นสาธารณรัฐตุรกีแล้วนั้น ในช่วงเวลาแรกกระบวนการสร้างชาติและการสร้างค่านิยมความเป็นเติร์ก ทำให้ความเป็นอื่นของประเทศถูกกดทับ รวมไปถึงความเป็นเคิร์ดด้วยเช่นกัน ด้วยความกดดันเช่นนี้และความหวังของการเป็นรัฐอิสระของชาวเคิร์ดที่ถูกแบ่งพื้นที่ซึ่งเดิมคาดว่าจะสร้างเป็นรัฐเคอร์ดิสถานออกไปเป็นส่วนหนึ่งในอิรัก ซีเรีย และตุรกี รวมถึงบางส่วนในอิหร่าน ก็ทำให้เป็นปัจจัยหนุนให้เกิดการก่อตั้งกลุ่มติดอาวุธ PKK หรือ Kurdistan Workers’ Party ขึ้นในปี 1978 แต่เริ่มเห็นปฏิบัติการที่เด่นชัดในปี 1984 และการโต้ตอบกันด้วยความรุนแรงระหว่างตุรกีและชาวเคิร์ดในครั้งแรกนั้นจบลงในปี 1999 แต่ก็กลับมาเกิดอีกครั้ง ในปี 2004 กระทั่งเริ่มรุนแรงขึ้นในปี 2011 จนรัฐบาลตุรกีสามารถจับกุม Öcalan ได้ในปี 2013 และมีการพูดคุยในทางลับต่อกันในช่วงระยะเวลาหนึ่งทำให้ในที่สุด Öcalan ประกาศยุติการใช้กำลังกับรัฐบาลตุรกี และหันมาเข้าสู่การพูดคุยสันติภาพ นับแต่นั้นกระบวนการสันติภาพจึงเริ่มต้นขึ้น และดูเหมือนว่าจะมีความหวังมากขึ้นกว่าทุกครั้ง เมื่อรัฐบาลตุรกีเปิดพื้นที่ให้กับชาวเคิร์ดมากขึ้นในหลายด้าน ภาษาเคิร์ดเริ่มสามารถกลับมาใช้ในพื้นที่สาธารณะได้อีกครั้ง สื่อและมหาวิทยาลัยที่ใช้ภาษาเคิร์ดก็เริ่มมีขึ้น
แต่ด้วยภาวะการเมืองระหว่างประเทศ ที่ตุรกีมีพื้นที่ติดกับประเทศสงครามหลายประเทศ โดยเฉพาะในอิรักและซีเรีย ทำให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นนำมาสู่ความรุนแรงระลอกใหม่อีกครั้ง ในเดือนตุลาคม 2014 เริ่มมีกระแสการประท้วงที่ตุรกีไม่เข้าช่วยเหลือชาวเคิร์ดใน Kobani ของซีเรีย ซึ่งนำไปสู่การประท้วงที่มีคนเสียชีวิตจากการสลายการชุมนุม อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดก็มีเรื่อยมา โดยตลอดระยะเวลากลุ่มติดอาวุธ YPG ของชาวเคิร์ดในซีเรียและพรรคชาวเคิร์ด HDP ต่างก็อ้างว่ารัฐบาลยอมให้ดาอิชเข้าทำร้ายเคิร์ดใน Kobani
เหตุการณ์เริ่มมาถึงจุดตึงเครียดที่สุดเมื่อเกิดเหตุการณ์ระเบิดในเมืองซูรูช ขณะที่มีการทำกิจกรรมของนักเคลื่อนไหวชาวเคิร์ด ซึ่งมีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ต่อมาในช่วงปฏิบัติการทางอากาศเพื่อต้านไอซิซในซีเรียและ PKK ในอิรักตอนเหนือ (Şehit Yalçın Operasyonu) ก็กลายเป็นเหตุผลที่ทำให้ในเดือนกรกฎาคม 2015 PKK ยกเลิกการหยุดยิง และเริ่มต้นช่วงของการใช้ความรุนแรงระลอกใหม่ ส่งผลให้มีผู้ได้รับผลกระทบทั้งต่อชีวิต และ เศรษฐกิจของพื้นที่เป็นจำนวนมาก โดยเหตุการณ์ส่วนใหญ่จะเกิดในบริเวณแถบพื้นที่ชาวเคิร์ด คือ ทางตะวันออกเฉียงใต้ของตุรกี ซึ่งผู้ได้รับผลกระทบนี้ก็มีทั้งฝ่ายรัฐบาลตุรกีเองและฝ่ายกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ด รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วยเช่นกัน
เหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างทั้งสองฝ่าย ขยายตัวเข้าสู่พื้นที่หลักอื่นของประเทศ เพื่อตอบโต้รัฐบาลด้วยเช่นกัน  ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ระเบิดในเขตพื้นที่กองทัพอังการ่าในเดือนกุมภาพันธ์ และในเดือนมีนาคม 2016 อังการ่าก็เผชิญกับระเบิดครั้งใหญ่อีกครั้ง เหตุการณ์ทั้งสองครั้งนี้กลุ่ม TAK (Kurdistan Freedom Hawks) ซึ่งเป็นปีกหนึ่งของกลุ่มติดอาวุธ PKK รับว่าเป็นปฏิบัติการของกลุ่มตน
แม้ว่าการเริ่มต้นการหยุดยิงครั้งใหม่นี้จะใช้ข้ออ้างของการที่รัฐบาลตุรกีใช้กำลังต่อเคิร์ดในอิรัก แต่การวิเคราะห์หลายฝ่ายก็เห็นว่า กลุ่ม PKK เห็นว่าเป็นโอกาสเหมาะที่จะสามารถรวมอาณาเขตของเคอร์ดิสถานได้อีกครั้ง หลังจากที่กลุ่มติดอาวุธเคิร์ดในอิรักและซีเรียสามารถใช้โอกาสช่องว่างทางอำนาจในสงครามซีเรียเพื่อสถาปนาอำนาจของเคิร์ดในพื้นที่ได้สำเร็จ จึงทำให้มีความคิดที่จะนำเอาพื้นที่ส่วนใหญ่ของตนที่อยู่ในตุรกีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเคอร์ดิสถานนี้ให้ได้
ความรุนแรงระลอกใหม่ในครั้งนี้ ทำให้รัฐบาลตุรกีถูกวิพากษ์จากหน่วยงานที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนอยู่หลายครั้งด้วยกัน ว่าการใช้ปฏิบัติการทางอาวุธนั้นส่งผลให้ประชาชนทั่วไปอาจได้รับผลกระทบด้วย ขณะเดียวกัน มีกลุ่มนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวชาวเคิร์ด ที่ไม่พอใจการทำงานของรัฐบาลที่มีอุดมการณ์ต่างจากตน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสายคิดแนวเสรีนิยมและแนวคิดนิยมฝ่ายซ้าย ก็ออกมาวิพากษ์การใช้กำลังของรัฐบาลด้วยเช่นกัน หลายคนระบุว่า การใช้กำลังของรัฐบาลเป็นผลจากการเสียคะแนนจากการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2015 ที่เสียงของพรรค HDP ซึ่งเป็นพรรคของชาวเคิร์ดนั้นได้รับเสียงจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเขตที่มีชาวเคิร์ดอาศัยอยู่ อย่างไรก็ตามผลการเลือกตั้งครั้งนั้นก็ต้องเป็นอันโมฆะ เนื่องจากไม่สามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ จนทำให้นำไปสู่การเลือกตั้งครั้งใหม่ ที่เสียงของพรรค AK ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลเดิมกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ในช่วงก่อนหน้าการเลือกตั้งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ความตึงเครียดประเด็นปัญหาเคิร์ดกลับมาอีกครั้ง ทำให้การตอบสนองต่อเหตุการณ์ของพรรค HDP กลายเป็นจุดที่ถูกมองว่าสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธ  ขณะเดียวกัน การใช้กำลังเพื่อตอบโต้ของรัฐบาล หลายคนจึงมองว่าอาจเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองที่รัฐบาลต้องการได้เสียงจากกลุ่มชาตินิยมตุรกีด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับรัฐบาลตุรกี มีจุดยืนที่ชัดเจนต่อการใช้กำลังต่อกลุ่ม PKK เนื่องจากการใช้กำลังของ PKK หลายครั้งที่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนส่วนมาก และสำหรับการเริ่มต้นการใช้กำลังในครั้งนี้ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า PKK เป็นฝ่ายที่เริ่มการใช้กำลังก่อน ตลอดจนเป้าหมายของ PKK ก็เป็นไปแบบชัดเจนที่จะต้องการแบ่งแยกดินแดนเพื่อสร้างเคอร์ดิสถาน ฉะนั้น จึงเป็นหน้าที่ของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นพรรคใดก็ตาม ที่จะต้องรักษาความมั่นคงของชาติและรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรี ของชาติไปพร้อมกัน ปฏิบัติการเพื่อตอบโต้จึงต้องมี แต่อย่างไรก็ตามในอีกด้านหนึ่ง พื้นที่ทางอัตลักษณ์ของชาวเคิร์ดที่ถูกเปิดไปก็ยังคงดำเนินต่อไป แต่การปราบปรามกลุ่มติดอาวุธก็จำเป็นต้องเป็นไปด้วยเช่นกัน

ความมั่นคงของตุรกีและภูมิภาควันนี้
แม้ว่าหากมองในการใช้ชีวิตประจำวันทั่วไปแล้ว ชาวตุรกียังคงใช้ชีวิตอย่างปกติ เพียงแต่หลีกเลี่ยงในการไปในสถานที่ที่ค่อนข้างเป็นที่คาดเดาได้ ในช่วงวันที่คาดเดาได้ ว่าจะเกิดเหตุการณ์ เนื่องจากพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์หลักๆ ก็มักจะเป็นพื้นที่ที่เกิดขึ้นซ้ำๆกัน แต่ภาวะความไม่มั่นใจก็ยังคงเกิดขึ้นกับประชาชนอยู่บ้าง จึงจำเป็นที่ตุรกีจะต้องหาแนวทางรับมือ
ไม่ว่าจะความขัดแย้งระหว่างดาอิชหรือ PKK ก็ล้วนแล้วแต่ส่งผลมาจากการเมืองในภูมิภาคที่ทำให้ตุรกีเองแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องมีส่วนต่อเกมส์การเมืองสามเส้านี้ ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับสองตัวแสดงนี้ ล้วนแล้วแต่มีส่วนเกี่ยวข้องและส่งผลต่อกัน แม้ว่าสำหรับ PKK จะเป็นผลจากการเมืองในประเทศด้วยก็ตาม แต่ปัจจัยหลักสำคัญที่ทำให้กระบวนการสันติภาพล่าสุดสิ้นสุดลง ก็เป็นผลจากการเมืองในซีเรียและอิรักอย่างเห็นได้ชัด  
จึงนับได้ว่าปัจจุบัน ตุรกีจึงกำลังเผชิญกับความท้าทายความมั่นคงของประเทศที่มาจากตัวแสดงติดอาวุธถึงสองกลุ่มใหญ่ ซึ่งถือเป็นภาวะเสี่ยงที่ตุรกีจำเป็นต้องหาแนวทางรับมือและก้าวพ้นไปให้ได้ สำหรับปัญหา PKK เป็นการตกลงภายใน ที่จะต้องรีบหาทางให้กลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดยอมที่จะหันเข้าสู่กระบวนการเจรจาอีกครั้ง มิฉะนั้นก็จะส่งผลกระทบต่อทั้งภาพลักษณ์ในด้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนของประเทศและจะกระทบต่อชีวิตและเศรษฐกิจของประชาชนในพื้นที่ด้วยเช่นกัน และปัญหาดาอิช ก็นับได้ว่าเป็นปัญหาร่วมของโลก ที่ตัวแสดงหลักจำเป็นต้องหาทางร่วมมือกันเพื่อรับมืออย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม ด้วยภาวะเช่นนี้ จึงจะเห็นว่า ตุรกีเริ่มจะหันไปมีความสัมพันธ์กับอิหร่านมากขึ้น และหาแนวทางปรับความสัมพันธ์กับรัสเซีย ที่เริ่มถอยออกมาจากสงครามกลางเมืองในซีเรีย รวมถึงยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับชาติอาหรับและสหภาพยุโรป รวมถึงสหรัฐอเมริกา ด้วยเช่นกัน เนื่องจากการสร้างความสัมพันธ์ลักษณะนี้จะทำให้เป็นภูมิคุ้มกันความมั่นคงของประเทศได้มากขึ้น แม้ว่าตุรกีจะยังคงถูกตั้งคำถามกับหลายประการจากตะวันตกโดยเฉพาะ ในประเด็นที่รัฐบาลพรรคอัคที่มีแนวคิดเน้นแนวทางอิสลามเข้าปกครองต่อเนื่องยาวนาน 13 ปี   
ในภาวะเช่นนี้ ประกอบกับการถูกวิพากษ์ของรัฐบาลในประเด็นภายในอื่นๆ เอง จึงเป็นที่น่าติดตามว่า ตุรกีจะรับมืออย่างไร จะสามารถก้าวผ่านไปได้เหมือนที่ผ่านๆมาหรือไม่ เหตุการณ์ความไม่มั่นคงนี้จะกระทบต่อการพัฒนาและเศรษฐกิจของประเทศหรือไม่ ตุรกีจะสร้างความมั่นใจให้กลับมาสู่ประเทศได้อย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญทีสุดที่อาจเป็นคำถามของเวทีโลกทุกประเทศคือ ในวันนี้ จะทำอย่างไรก็ปัญหาสงครามกลางเมืองในซีเรีย ที่เป็นเหตุของปัญหาที่กระทบไปในหลายประเทศแล้ว