การเมืองตุรกีได้เดินทางมาถึงจุดที่น่าสนใจอีกครั้งหนึ่งภายหลังจากที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีในเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา
ส่งผลให้อดีตนายกรัฐมนตรีเรเจบ ตอยยิบ แอรโดว์อาน ชนะการเลือกตั้งและกลายเป็นประธานาธิบดีของตุรกี
ถัดจากนายอับดุลเลาะห์ กูล และมีนายอะห์มัด ดาวุดโอว์ลู เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน
ในวันที่ 7 กันยายน 2015 นี้
การเลือกตั้งทั่วไปจะถูกจัดขึ้นอีกครั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 550 คนในชุดรัฐบาลชุดที่
25 แทนที่ชุดเก่าที่ได้หมดวาระลง ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 24 ภายหลังจากตั้งเป็นสาธารณรัฐตุรกี
การเลือกตั้งครั้งนี้จะมีวาระสี่ปี โดยระหว่างนี้จะไม่เกิดการเลือกตั้งใดๆ
ไปจนถึงปี 2019
การเลือกตั้งครั้งนี้ถือเป็นอีกหนึ่งครั้งที่สำคัญ
สำหรับพรรคยุติธรรมและพัฒนาหรือพรรคอัค (AK Party) รวมไปถึงอนาคตอิสลามการเมืองในตุรกี
เนื่องจากจะเป็นการสร้างความชอบธรรมอย่างแท้จริงให้กับนายกรัฐมนตรีดาวุดโอว์ลูที่ได้ขึ้นตำแหน่งแทนประธานาธิบดีแอรโดว์อาน
ครั้งนี้หากดาวุดโอว์ลูและพรรรคอัคชนะการเลือกตั้งแล้วก็จะสามารถรักษาตำแหน่งและอำนาจทางการเมืองไว้ต่อเนื่อง
หลังจากที่พรรคอัคได้ขึ้นมาเป็นรัฐบาลนับตั้งแต่ปี 2002 เป็นต้นมา
ซึ่งนับได้ว่าเป็นการขึ้นมาของพรรคการเมืองแนวทางอิสลามในสังคมเซคิวล่าร์ของตุรกี
นับตั้งแต่มุสตาฟา เคมาล อาตาเติร์ก
ได้เปลี่ยนอาณาจักรออตโตมานให้กลายเป็นสาธารณรัฐตุรกี
แม้ว่าในช่วงก่อนที่จะมาถึงการขึ้นสู่อำนาจของพรรคอัคจะมีการเคลื่อนไหวของอิสลามการเมืองในตุรกีมาอย่างต่อเนื่องแต่ก็ถูกขัดขวางตลอดมา
กระทั่งเมื่อพรรคอัคได้เข้าสู่อำนาจการเมืองตุรกีก็ถูกมองว่าเป็นอีกแนวทางในการปฏิรูปอิสลามในประเทศ
หากแต่แนวทางของพรรคอัคนั้นได้วางอยู่บนฐานของกรอบประชาธิปไตย
และอาศัยอำนาจอันชอบธรรมจากการเลือกตั้ง
แล้วค่อยๆเปิดพื้นที่ให้กับอัตลักษณ์ทางศาสนาที่ถูกปิดกั้น เช่น
ในเรื่องการสวมฮิญาบ เป็นต้น
รวมไปถึงการมีนโยบายในการเปิดพื้นที่ให้กับชาวเคิร์ดและดำเนินกระบวนการสันติภาพในพื้นที่
ส่วนด้านต่างประเทศ ก็เน้นนโยบายที่เป็นมิตรต่อประเทศมุสลิมและขยายอำนาจอ่อนในการสร้างภาพของความเป็นผู้นำประเทศมุสลิม
ไม่ว่าจะเป็นการรับและสร้างที่พักพิงสำหรับผู้ลี้ภัยสงครามจากซีเรีย อิรัก
หรืออียิปต์ ตลอดจนช่วยเหลือทางมนุษยธรรมให้กับประเทศที่อยู่ในภาวะสงครามและยากจน
รวมถึงสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศบอลข่านและกลุ่มประเทศเชื้อสายเติร์ก
อย่างไรก็ดี แนวทางของพรรคอัคไม่ได้เน้นไปในรูปแบบอิสลามทั้งหมด
การพัฒนาประเทศยังคงดำเนินคู่ขนานไป
จนเศรษฐกิจและโครงสร้างสาธารณูปโภคในประเทศได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว จึงเป็นอีกเหตุผลที่ทำให้แม้ว่ามีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงแนวโน้มในการใช้อำนาจนิยมและเป็นพรรคที่ครอบครองอำนาจหลัก
มาอย่างยาวนาน แต่ก็ยังคงได้รับการตอบรับจากประชาชนชาวตุรกีอย่างต่อเนื่อง
สำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้
อีกหนึ่งประเด็นวิจารณ์นั่น คือ
ความพยายามในการเปลี่ยนระบบการเมืองการปกครองตุรกีไปสู่รูปแบบประธานาธิบดี
ซึ่งได้ให้อำนาจประธานาธิบดีในการบริหาร แทนที่ระบบรัฐสภาที่กำลังเป็นอยู่
ซึ่งข้อวิพากษ์วิจารณ์ในประเด็นนี้ เนื่องจากว่า จะเป็นการถ่ายทอดและสร้างฐานอำนาจที่ต่อเนื่องให้กับแอรโดว์อาน
จนอาจทำให้ตุรกีมีลักษณะคล้ายกับประเทศที่ใช้ระบบอำนาจนิยมในการปกครอง
หากแต่ข้อดีของระบบประธานาธิบดี ก็จะทำให้มีการตัดสินใจที่ง่ายขึ้น
และสร้างฐานอำนาจในการรองรับความพยายามของตุรกีในการเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำในอนาคต
ขณะเดียวกันก็เพื่อรักษาฐานอำนาจของพรรคอัคและสายอิสลามิสต์ในประเทศตุรกีเอาไว้
เนื่องจากต้องยอมรับว่าแอรโดว์อานนั้นถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของผู้นำประเทศที่ได้รับการยอมรับค่อนข้างสูง
หากต้องการคนมาแทนนั้นก็ยังคงหาได้ยาก แม้แต่ดาวุดโอว์ลูเองนั้นก็ยังถูกเปรียบเทียบในภาวะของความเป็นผู้นำ
เนื่องจากบุคลิคของดาวุดโอว์ลูจะดูมีความอ่อนโยนและเป็นนักวิชาการมากกว่านักการเมือง
ขณะเดียวกัน
ด้วยกับปัจจัยข้อวิพากษ์วิจารณ์ ในประเด็นการใช้อำนาจในการกำจัดกลุ่มที่เคลื่อนไหวเพื่อสร้างอำนาจซ้อนในประเทศ
ก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่อาจทำให้ฐานเสียงในครั้งนี้อาจลดลง รวมไปถึงการเคลื่อนไหวที่มากขึ้นของพรรคคู่แข่ง
ไม่ว่าจะเป็นพรรคประชาชนรีพับลีกัน หรือ CHP ที่มีนายคิลินชฺโอว์ลูเป็นประธานพรรค เป็นพรรคฝ่ายค้าน
ที่มีแนวคิดที่เน้นความเป็นเคมาลิสต์ ประชาธิปไตยเชิงสังคม ที่เน้นหนักไปทางอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย หรือ พรรคเคลื่อนไหวชาตินิยมหรือ MHP ที่มีนายบาห์เชลี
เป็นหัวหน้าพรรค เป็นอีกหนึ่งพรรคที่มีแนวคิดแบบชาตินิยมแต่จะเป็นแนวทางของฝ่ายขวา
ตลอดจนพรรคประชาชนประชาธิปไตย หรือ HDP ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้ายที่เน้นสนับสนุนชาวเคิร์ดในตุรกี
ก็เริ่มมีบทบาทมากขึ้น พรรคแห่งความผาสุข หรือ SAADET ที่มีแนวคิดอิสลามมิสต์
เช่นเดียวกันกับพรรคอัคหากแต่พรรคอัคจะมีความเป็นสมัยใหม่และเน้นความเป็นกลางมากกว่า
และพรรคอื่นๆ เล็กๆ ที่ยังคงมีอยู่ให้เห็น
รวมถึงการลงสมัครแบบอิสระของผู้สมัครที่มาจากสายกุลเลนเดิมที่ไม่สังกัดพรรคการเมืองใดๆในครั้งนี้
ความหลากหลายของตัวเลือกจึงเป็นอีกหนึ่งข้อท้าทายของพรรคอัค
อย่างไรก็ดี
การคาดการณ์จากหลายฝ่ายก็ยังคงเห็นตรงกันว่า
ชัยชนะก็น่าจะยังคงเป็นของพรรคอัคแม้ว่าอาจจะมีอัตราส่วนของเสียงที่ได้รับน้อยลงจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา
แต่พรรคอัคเองก็จำเป็นที่จะต้องได้รับเลือกตั้งมากกว่า
330 ที่นั่งจึงจะมีสิทธิในการที่จะผลักดันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญไปสู่การทำประชามติ
หรือมากกว่า 367 ที่นั่งเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญได้ผ่านคณะรัฐมนตรี[1] (หากได้เพียง 276 ที่นั่งก็จะมีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาล) ขณะเดียวกันก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะมีการตั้งรัฐบาลผสมขึ้น
ด้วยกับตัวแทนที่มีความหลากหลายมากขึ้นนั่นเอง
ข้อท้าทายสำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่การจะได้รับชัยชนะของพรรคอัค
แต่อาจเป็นการดำเนินนโยบายที่จะไม่ให้เกิดอำนาจนิยมตามที่หลายฝ่ายกังวล
และเช่นเดียวกันข้อท้าทายก็ยังอยู่ที่ปริมาณของเสียงที่จะได้รับ
ซึ่งจะส่งผลต่อเป้าหมายการปรับรัฐธรรมนูญและระบบการปกครองของประเทศที่พรรคอัค มี
จึงต้องติดตามต่อไปว่าผลของการเลือกตั้งครั้งนี้จะเป็นเช่นไร นักวิเคราะห์หลายท่านยังคงเห็นว่า
การพลิกโผที่จะทำให้พรรคฝ่ายค้านและพรรคทางเลือกอื่นขึ้นมาสู่อำนาจนั้นยังมีความเป็นไปได้น้อย
แต่หากเป็นไปจริงนั้น
คงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงตุรกีจากภาพที่กำลังเดินไปค่อนข้างสูงเลยทีเดียว
โดยเฉพาะในประเด็นด้านความสัมพันธ์ต่อโลกมุสลิมที่ตุรกีกำลังถือบทบาทนำ
อย่างไรก็ตามภายหลังจากการได้รับชัยชนะแล้ว วิธีการที่พรรคอัคจะจัดการกับเสียงวิจารณ์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในการเมืองตุรกี
โดยเฉพาะกับเรื่องปัญหาคอรัปชั่นและการใช้อำนาจที่เสี่ยงต่อการเป็นไปในรูปแบบเผด็จการก็ยังคงเป็นข้อท้าทายหลัก
ที่จะส่งผลต่อระยะเวลาของอำนาจที่จะมีต่อไปด้วยเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น