เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน 2015 สาธารณรัฐตุรกีได้จัดการเลือกตั้งทั่วไปเพื่อเลือกรัฐบาลชุดที่
25 หลังจากที่หมดวาระไป ผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการปรากฏว่า
มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง คิดเป็น 86.63% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งทั่วทั้งประเทศ มี 4 พรรคหลักที่มีแนวคิดทางการเมืองแตกต่างกัน
ได้รับเลือกตั้ง พรรค AK ได้ที่นั่ง 258 ที่นั่ง
คิดเป็น 40.86% ของผู้มาเลือกตั้งทั้งหมด พรรค CHP ได้ที่นั่ง 132 ที่นั่ง
คิดเป็น 24.96% พรรค MHP และ HDP ได้ที่นั่งเท่ากันนั่นคือ 80 ที่นั่ง
หากแต่ MHP ได้รับเสียงทั้งหมดคิดเป็น 16.29% ในขณะที่ HDP ได้รับเสียงทั้งหมดคิดเป็น
13.12% ในขณะที่พรรคอื่นๆแม้ไม่ได้ที่นั่งแต่ก็ได้รับเสียงรวมกัน 4.77% ของผู้มาเลือกตั้งทั้งหมด
รูปที่ 1 ผลการเลือกตั้งทั่วไปตุรกี 2015
ข้อน่าสังเกตของการเลือกตั้งกับการเมืองตุรกี
ข้อน่าสังเกตของการเลือกตั้งครั้งนี้
อาจสามารถ มองได้ 4 ประเด็นหลัก ดังนี้
1. จุดเปลี่ยนของการเปลี่ยนระบบรัฐบาลพรรคเดียวสู่รัฐบาลผสม
จากผลการเลือกตั้งนี้ ทำให้พรรคอัค
ที่เคยเป็นพรรครัฐบาลหลักพรรคเดียวมาตลอดสิบสองปี
จากการชนะเลือกตั้งด้วยเสียงส่วนมากในการเลือกตั้งปี 2002, 2007 และ 2011 กลับได้รับเสียงเลือกตั้งลดน้อยลง
และไม่เพียงพอต่อการตั้งเป็นรัฐบาลเดียวได้อีกต่อไป เนื่องจากหากจะตั้งพรรครัฐบาลได้จะต้องได้รับเสียงอย่างน้อย
276 ที่นั่ง แต่ครั้งนี้พรรคอัคกลับไม่สามารถทำได้
และสูญเสียฐานเสียงฝั่งตะวันออกที่เป็นพื้นที่ของชาวเคิร์ดไปเกือบทั้งหมด
ด้วยเหตุนี้พรรคอัคจึงจำเป็นต้องตั้งพรรครัฐบาลผสม หรือ ไม่ก็อาจตั้งเป็นรัฐบาลเสียงส่วนน้อย
ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลให้เกิดการเลือกตั้งใหม่ในเร็ววันนี้
รูปที่ 2 การเปลี่ยนแปลงจำนวนเสียงที่ได้รับเลือกตั้งของแต่ละพรรค
สำหรับ ประเด็นรัฐบาลผสม
นับได้ว่าเป็นประเด็นถกเถียงอย่างมากในการเมืองตุรกี เนื่องจากว่า
ไม่เพียงแต่พรรคหลักอื่นๆ จะปฏิเสธเบื้องต้นในการไม่เข้าร่วมเป็นรัฐบาลผสมแล้ว
สังคมตุรกียังคงติดภาพของความวุ่นวายในอดีตเมื่อประเทศได้กลายเป็นพรรครัฐบาลผสมและไม่สามารถตกลงกันได้อย่างลงตัวระหว่างอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกัน
ทำให้นำไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองและเป็นช่องว่างให้ทหารเข้ามากุมอำนาจ
โดยอาศัยสถานะที่ถูกรับรองโดยผู้ก่อตั้งรัฐตุรกี อย่างเคมาล อะตาเติร์ก ที่ระบุว่า
ทหารเป็นเสมือนกับ “ผู้คุ้มครองประเทศ” หากแต่เมื่ออยู่ในยุคอำนาจของกองทัพแล้ว
กลับมีการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนและปราศจากเสรีภาพ ทำให้มีความพยายามในการจำกัดอำนาจของทหารมาตลอดและสำเร็จมากขึ้น
จนทำให้ชาวตุรกีเองก็กังวลไม่น้อยกับการตั้งรัฐบาลผสม ขณะเดียวกัน สายอิสลามมิสต์ในประเทศ
ก็กังวลว่าการตั้งรัฐบาลผสมจะทำให้พรรคอัคไม่สามารถตัดสินทำสิ่งใดที่จะเป็นประโยชน์ต่อมุสลิมในประเทศได้เท่าเดิม
โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องการช่วยเหลืออียิปต์และซีเรีย
ตลอดจนเสรีภาพในการเคลื่อนไหวอย่างเสรีของมุสลิมในประเทศ และ
สิทธิในเรื่องของการสวมหิญาบ
อย่างไรก็ดี
หากมองบนฐานของทฤษฎีแล้ว การตั้งรัฐบาลผสมจะช่วยให้มีการถ่วงดุลอำนาจที่มากขึ้น
และทำให้ลดภาพลักษณ์ที่อาจถูกมองว่าเป็นรัฐบาลลักษณะคล้ายคลึงกับเผด็จการได้เช่นกัน
จึงไม่แปลกที่สื่อตะวันตกส่วนใหญ่จะถือว่าผลการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี
เนื่องจากจะเป็นการพัฒนาในเชิงประชาธิปไตยของตุรกีไปอีกขั้น ที่ทำให้อำนาจมีการแบ่งออกไปสู่พรรคที่หลากหลายมากขึ้น
2. จุดเริ่มต้นของข้อท้าทายใหม่ทางการเมืองของ AKP
การเลือกตั้งครั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า
เป็นการสะท้อนถึงการเดินนโยบายที่ผิดพลาดของพรรคอัค
โดยเฉพาะในประเด็นเรื่องความพยายามในการที่จะเปลี่ยนระบบของประเทศให้เป็นระบบประธานาธิบดี
ซึ่งจะทำให้ประธานาธิบดีนั้นมีอำนาจในบางเรื่องต่อการตัดสินใจ
ในขณะที่ปัจจุบันประธานาธิบดีเสมือนกับสัญลักษณ์ของประเทศเสียมากกว่า
ความพยายามในครั้งนี้จึงถูกมองว่าเป็นการสร้างฐานอำนาจที่ยาวนานให้กับแอร์โดว์อานมากขึ้น
และมีความเสี่ยงที่จะนำไปสู่การใช้อำนาจนิยมในเชิงเผด็จการได้ อย่างไรก็ดี
อีกหนึ่งความพลาดของพรรคอัคนั่นคือการเน้นนโยบายที่เอื้อกับมุสลิมและชาวเคิร์ด
มากเกินไป จนทำให้สายชาตินิยมในประเทศไม่พอใจ แต่ในขณะเดียวกันนโยบายใหม่ที่ชู
ก็ไม่ได้ให้พื้นที่แก่ชาวเคิร์ดที่เห็นชัด
จนทำให้ชาวเคิร์ดเดิมที่หลายพื้นที่เป็นฐานเสียงของพรรคอัคกลับเปลี่ยนไปเลือกพรรคใหม่ของชาวเคิร์ดเอง
แม้ว่าฐานเสียงหลักของพรรคอัคยังคงได้รับเสียงส่วนมากก็ตาม แต่ก็เป็นประเด็นท้าทายสำหรับพรรคอัคไม่ใช่น้อยในการเดินเกมส์ต่อไปข้างหน้า
กับสภาพของสังคมตุรกีที่มีความหลากหลายทางแนวคิด
โดยในอนาคตอาจเป็นไปได้ว่าพรรคอัคอาจจำเป็นต้องกลับมาสู่ประเด็นการเมืองภายในมากขึ้นกว่าการเน้นประเด็นระหว่างประเทศมากเช่นเคย
ข้อท้าทายสำคัญของอัคในเวลานี้ก็คือ
การจะตัดสินใจที่จะรวมกับพรรคใด หลายการวิเคราะห์มองว่าหากรวมกับ HDP ซึ่งเป็นพรรคของชาวเคิร์ดก็จะทำให้กระบวนการสันติภาพกับชาวเคิร์ดสามารถดำเนินต่อไปได้
แต่ว่าเมื่อ HDP มีแนวคิดหลักเป็นแบบฝ่ายซ้าย
และมีความเป็นเคิร์ดสูง ก็อาจทำให้เหล่าชาตินิยมในตุรกีไม่พอใจ
ในขณะที่ความเป็นไปได้ที่จะรวมกับพรรค MHP มีมากกว่า
เนื่องด้วยความใกล้เคียงในแนวคิดแบบลิเบอรัลและจะเรียกเสียงของความเป็นชาตินิยมเติร์กได้
แต่ล่าสุดผู้นำพรรคทั้งสอง แสดงเจตจำนงที่จะไม่เข้าร่วมในรัฐบาลผสมกับพรรคอัค
และหัวหน้า พรรค MHP ก็แนะว่าหากรวมไม่ได้ก็จัดการเลือกตั้งใหม่อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการตั้งรัฐบาลผสม
ฉะนั้น
สิ่งที่น่าสนใจที่จะต้องติดตามต่อไป คือ
เกมส์ใดที่พรรคอัคจะนำขึ้นมาเล่นกับสถานการณ์ที่ท้าทายพรรคอัคเช่นนี้
แม้ว่าแน่นอนพรรคอัคเองก็ถือว่าครั้งนี้เป็นชัยชนะที่ทางพรรคได้รับอีกครั้งหนึ่งก็ตาม
3. การขึ้นมาของพรรคการเมืองชาวเคิร์ด
หากมองเปรียบเทียวกับพรรคอื่นๆ
แล้ว นับว่ามีการเปลี่ยนแปลงของเสียงเลือกตั้งไม่มาก
และจุดเปลี่ยนที่สำคัญที่ทำให้เกิดข้อท้าทายของพรรคอัคตามที่ระบุข้างต้น
รวมถึงการเปลี่ยนบริบททางการเมืองของตุรกีในครั้งนี้ นับได้ว่า ชาวเคิร์ด
กลายเป็นส่วนที่มีบทบาทอย่างปฏิเสธไม่ได้ แม้ว่าพรรค HDP นี้จะตั้งขึ้นมาในปี
2012 ซึ่งมีแนวคิดฝ่ายซ้าย แบบสังคมนิยมประชาธิปไตย
และเน้นไปในเรื่องของสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก
ได้กลายเป็นพรรคที่เริ่มก้าวเข้ามามีบทบาทที่ชัดขึ้นในการเมืองตุรกี
ด้วยภาพลักษณ์ของความเป็นเคิร์ดและหัวหน้าพรรคเป็นหนุ่มไฟแรง
และสนับสนุนกระบวนการสันติภาพในพื้นที่ชาวเคิร์ด
เนื่องจากพรรคนี้บางนักวิเคราะห์ก็มองว่าเป็นสายการเมืองของ PKK หรือกลุ่มติดอาวุธที่เคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยชาวเคิร์ด
ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้สำหรับชาว เคิร์ดที่กระบวนการสันติภาพได้เดินทางมาถึงจุดที่
ความเป็นเคิร์ด ไม่ได้เป็นสิ่งที่ถูกปิดกั้นจากสังคมตุรกีในเชิงทางการต่อไป
เนื่องจากชาวเคิร์ดก็เริ่มมีสิทธิในการใช้ภาษาของตัวเอง มีสื่อของเคิร์ด
ตลอดจนมหาวิทยาลัยที่ใช้ภาษาเคิร์ด ฯลฯ เกิดขึ้น จึงทำให้ในระดับหนึ่ง
ความเป็นเคิร์ด เริ่มเป็นสิ่งที่เปิดมากขึ้น
การเลือกตั้งครั้งนี้หากมองจากรูปที่ 1 และ รูปที่ 2 ข้างต้นแล้วจะเห็นได้ว่า
พื้นที่ของชาวเคิร์ดเกือบทุกจังหวัดพรรค HDP จะได้คะแนนเสียงนำ
ต่างจากในการเลือกตั้งครั้งที่แล้วส่วนใหญ่แล้วจะเลือกพรรคอัค และรูปที่ 2 ก็ชี้ให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของที่นั่งอย่างเห็นได้ชัด
เหตุผลหนึ่งอาจเป็นเพราะชาวเคิร์ดเองในช่วงแรกที่เลือกพรรคอัคนั้นก็เนื่องจากว่า
มองว่าอย่างน้อยก็เป็นพรรคที่มีแนวโน้มในการผ่อนปรนให้กับชาวเคิร์ดมากที่สุด
ขณะเดียวกัน เมื่อพรรคอัคอาศัยตัวแทนชาวเคิร์ดที่เข้าสู่การเมืองและความสัมพันธ์ที่ดีกับ
HDP ในการให้เข้ามามีบทบาทช่วยเหลือกระบวนการสันติภาพก็เสมือนกับดาบสองคม
ที่ช่วยสร้างฐานอำนาจให้กับ HDP ได้มีบทบาทมากขึ้น
จนทำให้ชาวเคิร์ดหันมาเชื่อใจในพรรคที่เป็นชาติเดียวกันเสียมากกว่า และมองว่าหากได้ตัวแทนเป็นชาวเคิร์ดเองได้นั้นก็จะทำให้เมื่อเข้าสู่สภาแล้วจะต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวเคิร์ดได้มากขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจในกรณีนี้คือ ทัศนคติของชาวเติร์กที่มีต่อชาวเคิร์ด
กลับเริ่มมีปฏิกิริยาที่รุนแรงขึ้น บนฐานของความเป็นชาตินิยม
ที่มองว่าถือว่าเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคงของตุรกีหากเคิร์ดมีสิทธิทางการเมืองในรูปแบบนี้
และทำไมจะต้องมีตัวแทนชาวเคิร์ดจำนวนมากขนาดนี้นั่งอยู่ในสภา แต่ขณะเดียวกัน
แน่นอนว่าผลที่ออกมาก็สะท้อนถึง ความต้องการพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยในประเทศ
และเป็นการทำให้ภาพลักษณ์ของตุรกีในกรณีเรื่องปัญหากับชาวเคิร์ดนั้นเป็นไปในทางที่ดีมากขึ้น
4. มุสลิมกับการเมืองอิสลามในตุรกี
การเลือกตั้งครั้งนี้นับได้ว่า เป็นอีกหนึ่งการชี้ชัดที่ทำให้เห็นว่า
กลุ่มที่มีแนวคิดอิงอิสลามในตุรกีเองนั้นก็ยังไม่สามารถรวมกันเป็นหนึ่งเดียวได้
ความแตกแยกระหว่างกุลเลนกับสาวกกับพรรครัฐบาลก็ทำให้เสียงเดิมจำนวนไม่น้อยที่หายไป
ขณะเดียวกัน พรรค SAADET ที่ได้รับเสียงเลือกตั้งอยู่บ้างในบางพื้นที่
ก็เป็นหนึ่งพรรคสายอิสลามมิค
ที่ก็ทำให้ฐานเสียงของกลุ่มอิสลามมิสต์ในตุรกีได้กระจายออกไป
ความไม่เป็นหนึ่งเดียวนี้ อาจเป็นสิ่งที่ปกติในเชิงทฤษฎีทางการเมือง
แต่แน่นอนว่าส่งผลกระทบเช่นกันต่อฐานเสียงเดิมที่มี
อย่างไรก็ตาม
มุสลิมจำนวนมากก็ยังคงเชื่อมั่นในพรรคอัค
และมองว่าผลจากการเลือกตั้งครั้งนี้ยังถือว่าเป็นชัยชนะ
แต่พรรคอัคเองก็จำเป็นต้องปรับตัว ในช่วงเวลาถัดไปด้วยเช่นเดียวกัน
การเน้นอุดมการณ์เชิงศาสนาที่มากเกินไป กับสังคมที่ยังไม่พร้อมและไม่เข้าใจต่อความเป็นอิสลามนั้นก็อาจทำให้เกิดผลเสียได้เช่นกัน
ฉะนั้น การปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดในบริบททางการเมือง
และรักษาฐานอำนาจของมุสลิมในประเทศ
เพื่อประกันถึงสิทธิเสรีภาพในการประกอบศาสนกิจและช่วยเหลือในความเป็นพี่น้องมุสลิมให้ยังสามารถดำเนินต่อไปได้
ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่น้อย
อนาคตของตุรกี จากผลการเลือกตั้ง
ภาพที่เป็นไปได้ในขณะนี้
เป็นไปได้มากอยู่สองทางระหว่างการจัดตั้งรัฐบาลผสมและการจัดตั้งรัฐบาลเสียงส่วนน้อยชั่วคราวแล้วจัดการเลือกตั้งใหม่
ซึ่งต้องจับตามองต่อไปว่าผลจะเป็นอย่างไร แม้ว่าจะมีบางวิเคราะห์บอกว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่สามพรรคนอกจากอัคจะรวมตัวกันแล้วตั้งพรรคขึ้น
แต่ถือว่าเป็นความเป็นไปได้ที่น้อยมาก
บ้างก็มีการทำนายว่าอาจเกิดความระส่ำระส่ายจนเปิดทางให้กองทัพเข้ามา
ซึ่งเป็นไปได้แต่ด้วยอำนาจของกองทัพในปัจจุบันหากไม่มีการหนุนเสริมเบื้องหลัง
ก็ทำให้ยากเช่นกันที่จะทำเช่นนั้น ฉะนั้นแล้วทางที่เป็นไปได้มากที่สุดและควรที่จะเป็นคือในสองทางแรก
และขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสั่นคลอนทางการเมืองในครั้งนี้ก็จะกระทบต่อนโยบายต่างประเทศของตุรกี
รวมถึงเศรษฐกิจของประเทศด้วยเช่นเดียวกัน
สิ่งที่น่าจับตามอง
ประการแรก คือ อนาคตของอิสลามการเมืองในตุรกี ว่าจะสามารถรักษาฐานอำนาจและปรับตัวกับข้อท้าทายได้ดีแค่ไหน
ในอดีตที่ผ่านมา แม้ว่ามีข้อท้าทายหลายครั้ง
พรรคอัคก็พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถก้าวผ่านมาได้
ครั้งนี้เช่นกันก็เป็นอีกหนึ่งข้อท้าทายที่ต้องจับตามอง
เนื่องจากเป็นข้อท้าทายที่มาจากผลของวิธีการที่พรรคอัคเลือกใช้ นั่นคือ แนวทางประชาธิปไตยที่เน้นในเสียงส่วนมาก
แน่นอนว่าก็อาจเป็นไปได้ว่า
ในท้ายสุดอิสลามนั่นอาจไม่สามารถประยุกต์เข้ากับประชาธิปไตยได้อย่างสำเร็จได้
เนื่องจากฐานคิดของประชาธิปไตยท้ายสุดก็จะมีการเปลี่ยนหมุนผันทางอำนาจขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้ง
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาจไม่ถูกไปเสียทั้งหมดหากพิจารณาถึงบริบทประกอบด้วยเช่นกันว่าการเดินทางในเส้นนี้
ได้มีความระมัดระวังหรือไม่
ครั้งนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีสิ่งที่พรรคอัคได้มองข้ามไป นั่นคือ
คิดว่าฐานสังคมพร้อมสนับสนุนในทุกอย่าง
และพยายามสร้างฐานอำนาจที่ยังเร็วเกินไปอยู่สำหรับสังคมตุรกี
ขณะเดียวกันก็อยู่กับภาวะที่เศรษฐกิจโลกเกิดความผกผันที่ทำให้ประชาชนอาจมองว่าเป็นความผิดของรัฐด้วยก็เป็นได้
แม้ว่าอัคจะพิสูจน์ตัวเองได้ดีในประเด็นอื่นทั้งการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของประเทศ
พัฒนาระบบศึกษา เศรษฐกิจและระบบสาธารณูปโภคก็ตาม ฉะนั้นเพียงแค่ความผิดพลาดเล็กน้อยครั้งนี้ก็ยังไม่อาจสรุปได้ว่าอิสลามการเมืองนั้นไม่มีประสิทธิภาพ
หากแต่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบและพัฒนาเสมอ อย่างไรก็ตาม ด้วยบริบทปัจจุบัน
หากมุสลิมจะมีพื้นที่แนวทางนี้ก็ยังคงจำเป็น
แต่ในอนาคตนั้นก็ต้องค่อยๆปรับไปสู่แนวทางอิสลามมากขึ้นนั่นเอง
ประการที่สอง
คือ อนาคตของกระบวนการสันติภาพเติร์ก-เคิร์ด
เนื่องจากผลการเลือกตั้งครั้งนี้เสมอนกับเหรียญสองด้านที่มีทั้งแง่ดีต่อชาวเคิร์ดคือได้ตัวแทนจากฝ่ายตนที่จะช่วยส่งเสียงของชนกลุ่มน้อยและช่วยในการสานต่อกระบวนการสันติภาพระหว่างรัฐบาลกับกลุ่ม
PKK ได้ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างความเกลียดชังและความกังวลที่มากขึ้นให้กับกลุ่มชาตินิยมที่ยังคงมีมากอยู่ในสังคมตุรกีด้วยเช่นกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
ไม่อนุญาตให้มีความคิดเห็นใหม่