ยาสมิน
ซัตตาร์
นับตั้งแต่ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศตุรกีล่าสุดในวันที่
24 มิถุนายน ที่ส่งผลให้แอรโดก์อานสามารถคว้าชัยชนะได้อีกครั้งและเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศสู่ระบอบประธานาธิบดี
มาซึ่งคำวิพากษ์วิจารณ์จากโลกตะวันตกเป็นจำนวนมากในประเด็นความเป็นเผด็จการที่จะมีมากขึ้นของแอรฺโดก์อาน
แต่ขณะเดียวกันก็นำมาซึ่งความยินดีของโลกมุสลิมหลายๆประเทศต่อชัยชนะในครั้งนี้ การปะทะกันระหว่างการสร้างภาพลักษณ์สองแบบของแอรฺโดก์อานกลายเป็นเรื่องราวที่เห็นได้ชัดผ่านสื่อต่างๆ
ระหว่างสื่อตะวันตกและสื่อโลกมุสลิม
ขณะเดียวกันเรื่องราวของแอรฺโดก์อานยังถูกถกเถียงผ่านโซเชี่ยลมีเดียอย่างกว้างขวาง
ประเด็นต่างๆ ที่รัฐบาลพรรคยุติธรรมและการพัฒนาหรือพรรคอัค ได้ดำเนินการมา
ถูกหยิบยกมาใช้ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมที่เป็นปัจจัยสนับสนุน
หรือเรื่องการจับกุมนักข่าวและนักวิชาการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกลุ่มกุลเลนซึ่งเป็นปัจจัยค้าน
แม้กระทั่งหลังเกิดเหตุการณ์ซึ่งนักเตะเชื้อสายตุรกีชาวเยอรมัน
ต้องลาออกจากทีมเพราะถูกเหยียดเชื้อชาติภายหลังจากทีมเยอรมันพ่ายแพ้ในบอลโลก และก่อนหน้านั้นมีรูปที่นักบอลคนนี้ถ่ายคู่กับแอรฺโดก์อาน
ประเด็นนี้ก็กลายเป็นเรื่องถกเถียงไปพร้อมๆ กับภาพลักษณ์แอรฺโดก์อาน
แม้กระทั่งในประเทศไทยเอง
แม้ว่าแอรฺโดก์อานจะเผชิญกับแรงเสียดทานและชุดวาทกรรมที่ผลิตสร้างเพื่ออธิบายความเป็นแอรฺโดก์อานมากสักเท่าไหร่แต่แอรฺโดก์อานก็ยังคงชนะการเลือกตั้งและอยู่ในตำแหน่งต่อไป
ท่ามกลางข้อถกเถียงที่ยังคงมีต่อ
โดยเฉพาะการเลือกให้ลูกเขยมาเป็นรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ
บททดสอบสำคัญอีกครั้งของแอรฺโดก์อานเริ่มขึ้นเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา
ซึ่งส่งผลกระทบต่อตุรกีอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสหรัฐฯ ประกาศให้ตุรกีปล่อยตัวแอนดริว
บรันซัน นักบวชคริสเตียนชาวสหรัฐฯ
ซึ่งถูกจับในข้อหาการให้การสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดและกลุ่มเฟโต้ของกุลเลน
ที่นับได้ว่าเป็นกลุ่มก่อการร้ายสำหรับตุรกี แต่ตุรกีปฏิเสธที่จะปล่อยตัว
ทำให้สหรัฐฯใช้เป็นข้ออ้างในการประกาศขึ้นภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมกับตุรกีเป็น 50%
และ 20% โดยส่งผลให้ค่าเงินลีร่าอ่อนตัวหนักที่สุดในรอบปีนับตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม กระทั่งวันที่ 13 สิงหาคม ไปแตะที่ต่ำที่สุดที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐต่อ 6.95 ลีร่า แต่หลังจากนั้นกระทั่งวันที่ 17 สิงหาคม
ค่าเงินก็เริ่มกระเตื้องขึ้นอีกครั้ง แต่ก็ค่อยๆ ขึ้นทีละนิดไปแต่ที่ 6.04 ลีร่า ในวันที่ 20 สิงหาคม อีกครั้ง
กราฟ 1 อัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์สหรัฐ/เตอร์กิชลีร่าในรอบสามเดือน
กราฟ 2 อัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์สหรัฐ/เตอร์กิชลีร่าในรอบหนึ่งสัปดาห์
ที่มา https://markets.businessinsider.com/currencies/usd-try
แน่นอนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ได้มีผลมาจากแค่เพียงเหตุการณ์เดียวที่ส่งผลทำให้เกิดความผันผวนทางการเงินหนักขนาดนี้
และคงไม่ใช้ปัจจัยเดียวที่ทำให้สหรัฐฯ หันมาใช้มาตรการทางเศรษฐกิจกับตุรกี
สองปัจจัยหลักเนื่องจากความสัมพันธ์ที่ไม่สู้ดีหนักระหว่างตุรกีและสหรัฐฯในช่วงที่ผ่านมา
และปัญหาเศรษฐกิจภายในตุรกีเองที่สะสมมาต่อเนื่องและยังไม่ได้รับการแก้ไข
จึงทำให้ปัญหาลุกลามถึงขั้นวิกฤต ขณะเดียวกันผลของปัญหาในครั้งนี้ยังทำให้เกิดผลกระทบต่อตลาดการเงินในหลายประเทศ
เช่น บางประเทศในยุโรป หรือ อินเดีย เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม
ปัญหาครั้งนี้ก็ทำให้เห็นว่าตุรกียังคงมีความสำคัญกับหลายประเทศ
จากความพยายามทางการทูตรวมถึงการเพิ่มความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับหลายประเทศ
ในช่วงที่ต้องการเป็นอิสระจากสหรัฐฯมากขึ้น และเริ่มหันมาใช้นโยบาย Look East ซึ่งเพิ่มระดับความสัมพันธ์กับรัสเซียและจีน
นโยบายแบบนี้จึงทำให้ตุรกีได้มิตรที่พร้อมช่วยในสถานการณ์เช่นนี้ไม่น้อย
จึงนับได้ว่าปรากฏการณ์นี้เป็นอีกกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
สำหรับการทำความเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคปัจจุบัน
ที่กระบวนการกดดันทางเศรษฐกิจอาจส่งผลกระทบได้ในระดับหนึ่งแต่อาจไม่เฉียบคมเท่าอดีตก็เป็นได้
ความสัมพันธ์สหรัฐฯ-ตุรกี: ไม่ใช้มิตรแท้ หรือศัตรูถาวร
นับตั้งแต่อดีตหลังจากประกาศเป็นสาธารณรัฐตุรกี
ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและตุรกีนับได้ว่ามีความใกล้ชิดกันมา ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่
2 และช่วงสงครามเย็น ตุรกีเป็นประเทศที่ประกาศตนเป็นพันธมิตรที่ชัดเจนต่อสหรัฐฯ
ขณะเดียวกันสหรัฐฯก็ให้ความช่วยเหลือกับตุรกีทั้งด้านเศรษฐกิจและการทหาร
ในแง่หนึ่งการเป็นพันธมิตรต่อสหรัฐฯ ในเวลานั้นก็เพื่อป้องกันภัยคุกคามจากสหภาพโซเวียต
เพื่อสนับสนุนสหรัฐฯในช่วงสงครามเย็น ตุรกีได้ร่วมรบในสงครามเกาหลี กระทั่งในปี 1952 ตุรกีก็ได้เข้าเป็นสมาชิกนาโต้ หลังจากนั้น 2 ปี สหรัฐฯยังสร้างฐานทัพอินจิรฺลิคขึ้นในตุรกี โดยที่ฐานทัพนี้นับได้ว่าเป็นฐานทัพหลักที่สหรัฐฯใช้ทำสงครามกับประเทศตะวันออกกลางในเวลาต่อมา
แต่เริ่มมีปัญหาให้เห็นบ้างกรณีไซปรัสซึ่งตุรกีเห็นต่างจากสหรัฐฯ
กระทั่งเกิดการระงับการซื้อขายอาวุธให้ตุรกี อย่างไรก็ตาม
สหรัฐฯก็กลับมามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตุรกีอีกครั้งเมื่อเกิดการปฏิวัติในอิหร่าน
ซึ่งสหรัฐฯ
ต้องการพันธมิตรเพื่อรับมือกับสถานการณ์ทางการเมืองที่เริ่มเปลี่ยนไปในภูมิภาคตะวันออกกลาง
และเมื่อโอซาลขึ้นปกครอง
ทิศทางของรัฐบาลในเวลานั้นจะเน้นเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลักและมีการซื้อขายอาวุธระหว่างสองประเทศชัดเจนขึ้น
ในช่วงนี้สหรัฐฯยังช่วยสนับสนุนให้ IMF ยอมให้ตุรกีกู้
ขณะเดียวกันยังเลือกที่จะเพิกเฉยไม่วิพากษ์วิจารณ์เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนเช่นที่เคยทำ
และยังไม่กดดันตุรกีในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งกับชาวเคิร์ด ต่อมาภายหลังจากสงครามเย็น
แม้ว่าจะไม่มีแรงกดดันจากโซเวียตและเริ่มเห็นชัดว่าไม่สามารถเข้าร่วมในสหภาพยุโรปได้
ตุรกีจึงจำเป็นต้องสนับสนุนสหรัฐฯ เช่น การเข้าร่วมในสงครามอ่าว
แต่อย่างไรก็ตามในเวลานั้น ตุรกีเริ่มเปิดตัวเอง
และสร้างความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ มากขึ้น
โดยเฉพาะประเทศในแถบบอลข่านและเอเชียกลาง ซึ่งมีอัตลักษณ์และฐานภาษาที่คล้ายคลึงกับหลายประเทศ
ขณะเดียวกันก็เริ่มเปิดเข้าสู่ประเทศแถบแอฟริกา
โดยในช่วงเวลานี้กลุ่มนักเคลื่อนไหวมุสลิมซึ่งทำงานด้านการให้ความช่วยเหลือเชิงมนุษยธรรมได้เริ่มทำงานในเขตพื้นที่ขัดแย้งหลายๆที่ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯและตุรกียังคงเป็นไปในเชิงบวก
กระทั่งเกิดสงครามอิรัก ที่นำมาซึ่งข้อถกเถียงในสังคมตุรกีเป็นจำนวนมาก
ว่าตุรกีควรมีส่วนร่วมในสงครามครั้งนั้นหรือไม่
เนื่องจากสงครามในครั้งนั้นสหรัฐฯได้ฝึกฝนอาวุธในชาวเคิร์ดในอิรัก
ซึ่งตุรกีกังวลว่าจะส่งผลต่อความมั่นคงภายในที่มีกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดอยู่เช่นกัน
ขณะที่สังคมตุรกีได้ถกเถียงถึงความชอบธรรมของสงครามในครั้งนั้น
ความไม่ชัดเจนในการสนับสนุนของตุรกีครั้งนี้เริ่มส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
และเริ่มเห็นถึงความไม่ลงรอยอีกครั้งในปี 2007 ในกรณีที่สหรัฐฯมีการพูดถึงสงครามระหว่างอาร์มาเนียและออตโตมานว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
แต่ประเด็นนี้ถูกแก้ไขเมื่อประธานาธิบดีโอบามาเข้าสู่ตำแหน่ง
ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีและสหรัฐภายใต้รัฐบาลพรรคอัค
มีความอิหลักอิเหลื่อมาตลอด ในแง่หนึ่งแล้ว ความร่วมมือในหลายๆ
มิติทั้งการค้าและการทหารยังคงดำเนินไป ขณะเดียวกันก็มีเหตุการณ์ที่กระทบกระทั่งกันบ่อยครั้ง
โดยเฉพาะเรื่องการสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดของสหรัฐฯ ในสงครามซีเรีย
ที่แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่ตุรกีไม่พอใจ
เพราะสำหรับตุรกีแล้วกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดนับได้ว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคง
ขณะเดียวกัน ท่าทีของแอรฺโดก์อานก็เริ่มถูกวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นไปพร้อมๆ
กับความนิยมที่มากขึ้นไปด้วย ขณะเดียวกันในช่วงที่ผ่านมาก็จะเห็นถึงประเด็นขัดแย้งที่รุนแรง
ไม่ว่าจะเป็นจุดยืนที่ต่างต่อเรื่องซีเรีย ประเด็นการจับกุมนักการธนาคารในสหรัฐฯ
ข้อตกลงเรื่องระบบมิซไซล์ S-400
การส่งเครื่องบินเจ็ททหาร F-35 ไปยังตุรกีอย่างล่าช้า และประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ เรื่องที่สหรัฐฯ
ไม่ส่งตัวกุลเลน
ซึ่งรัฐบาลตุรกีอ้างว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความพยายามก่อรัฐประหารในปี 2016[1] จึงเห็นได้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมาความสันพันธ์ระหว่างสองประเทศเริ่มเกิดความไม่ไว้วางใจและความขัดแย้งระหว่างกัน
ในแง่หนึ่งแล้ว
การที่ตุรกีแสดงจุดยืนที่ชัดเจนในการหันไปสู่การสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดขึ้นกับจีนและรัสเซีย
รวมถึงกลุ่มประเทศใน BRICS นับได้ว่าเป็นอีกจุดที่ทำให้สหรัฐฯยิ่งไม่พอใจ
กระทั่งล่าสุดเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2018 กระทรวงการคลังสหรัฐฯ
ได้แบนรัฐมนตรีตุรกี 2 คน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจับกุมนักบวชคริสเตียนชาวสหรัฐฯ
ซึ่งถูกจับในข้อหาให้การสนับสนุนการก่อการร้าย ทั้งกลุ่มพีเคเค
(กลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ด) และกลุ่มเฟโต้ (กลุ่มเครือข่ายของเฟตุลลอฮ์ กุลเลน)
ต่อมาในวันที่ 10 สิงหาคม สหรัฐฯ เริ่มเพิ่มภาษีเหล็กและอะลูมิเนียมจากตุรกี
และเรียกร้องให้ตุรกีปล่อยตัวนักโทษชาวสหรัฐฯ
และบอกว่านักบวชชาวคริสเตียนที่ถูกจับนั้นบริสุทธิ์
ตุรกีจึงมีการตอบโต้และกล่าวว่าพฤติกรรมของสหรัฐฯ
นั้นเป็นตัวบังคับให้ตุรกีต้องหาพันธมิตรใหม่
แต่แน่นอนว่าผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพราะท่าทีของสหรัฐฯที่ประกาศฝ่ายเดียวในสิ่งที่ขัดต่อมารยาทและกฎของข้อตกลงการค้าโลก
แต่ยังมีปัจจัยประกอบที่ทำให้เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นนั่นคือ
ภาวะเศรษฐกิจที่สั่นคลอนภายในตุรกีเอง
เศรษฐกิจตุรกีในช่วงทศวรรษหลังกับผลกระทบของสงครามเศรษฐกิจต่อตุรกี
เศรษฐกิจของตุรกีในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ภายใต้การบริหารของพรรคอัคนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ทำให้เศรษฐกิจตุรกีค่อยๆ
ฟื้นฟูขึ้น จึงทำให้ตุรกีเองเริ่มดำเนินนโยบายอย่างเป็นอิสระมากขึ้น ก่อนหน้านี้
เศรษฐกิจตุรกียึดติดกับสหรัฐฯและยุโรปเพียงอย่างเดียว กระทั่งนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจของโอซาลที่ทำให้ตุรกีหันมาพัฒนามิตินี้อย่างจริงจังและเริ่มเปิดตลาดที่หลากหลายขึ้น
แม้ว่ายุโรปจะยังคงเป็นคู่ค้าหลักเสมอมา อย่างไรก็ตาม ในยุคนี้ตุรกีได้กู้เงินจาก IMF
เพื่อสนับสนุนแผนพัฒนาเศรษฐกิจ
เมื่อพรรคอัคเข้ามาบริหารเป็นช่วงเวลาที่ประชาชนต้องการผู้มาช่วยพยุงเศรษฐกิจตุรกีในเวลานั้น
จึงทำให้พรรคทางเลือกอย่างพรรคอัคมีโอกาสเข้ามา และปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจัยการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ประชาชนยังคงเลือกพรรคอัคเข้ามาอีกหลายสมัยกระทั่งถึงปัจจุบัน
ประเด็นที่แอรฺโดก์อานพยายามตอกย้ำให้เห็นถึงความสำเร็จของพรรคอัค นั่นก็คือ
การชำระหนี้ IMF ได้ และความสามารถในการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐาน
ตลอดจนตัวเลข GDP ที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่อย่างไรก็ตามภายใต้การดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด
ทำให้ตุรกีต้องเผชิญกับฐานทางเศรษฐกิจที่พร้อมได้รับการกระทบกระเทือน
โดยเฉพาะปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ก่อตั้งสาธารณรัฐตุรกี
แต่อัตราเงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายลงในช่วงพรรคอัคเข้ามาบริหารประเทศ อย่างไรก็ดี
ปัญหาเงินเฟ้อก็ยังนับเป็นปัญหาสำคัญที่ตุรกีเผชิญเสมอมา
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้พรรคอัคไม่สามารถแก้ไขปัญหาตรงนี้ได้
ก็เพราะการห้ามไม่ให้ธนาคารกลางเพิ่มอัตราดอกเบี้ย
ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อคะแนนนิยมของพรรคอัคที่จะลดลง
รวมไปถึงอาจเป็นเพราะความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับมิติศาสนา
ที่มองว่าดอกเบี้ยจะไม่ส่งผลดีใดๆ
กราฟ 3 อัตราเงินเฟ้อของประเทศตุรกี
หากมองในประเด็นค่าเงินลีร่า
ก็จะเห็นว่าค่าเงินลีร่าก็เริ่มอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ
อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ในแง่หนึ่งก็อาจมองได้ว่าเป็นผลจากเศรษฐกิจโดยภาพรวมของโลก
ปัญหาการไหลออกของเงินดอลลาร์จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบาย
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นผลจากปัญหาเศรษฐกิจ ทั้งหนี้ต่างประเทศ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
รวมถึงเงินเฟ้อ[2]
และปัญหาความมั่นคงและการเมืองที่ตุรกีเผชิญมาตลอดทศวรรษที่ผ่านมา
กราฟ 4 อัตราแลกเปลี่ยนดอลล่าร์สหรัฐ/เตอร์กิชลีร่า
ที่มา https://markets.businessinsider.com/currencies/usd-try
นับตั้งแต่วันที่ 10 สิงหาคม 61 เมื่อเกิดปัญหาทางการเมืองกับสหรัฐฯ
และสหรัฐฯประกาศขึ้นภาษี ส่งผลทำให้ผลกระทบต่อค่าเงินตุรกีเป็นไปอย่างชัดเจนนั้น
ก็นับได้ว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นปัญหาใหม่สำหรับตุรกี
หากแต่เป็นปัญหาที่คาดการณ์ได้ เพียงแต่การใช้เครื่องมือเพิ่มภาษีของสหรัฐฯ
ครั้งนี้ทำให้ปัญหาเกิดผลกระทบที่ชัดขึ้น แน่นอนว่าปัญหาครั้งนี้ส่งผลต่อราคาสินค้าภายในประเทศบางรายการที่อาจสูงขึ้น
ขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อธุรกิจบางประเภทในประเทศ
รวมถึงความเชื่อมั่นที่ลดลงของนักลงทุน ในขณะเดียวกันก็เกิดความกังวลของนักลงทุนโดยทั่วไปว่าจะส่งผลวิกฤตโดมิโนทางการเงินในเอเชียขึ้นอีกครั้ง
ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ก็เห็นถึงผลกระทบต่ออินเดีย
อาร์เจนติน่าและแอฟริกาใต้ แม้ว่าจะไม่ได้เห็นชัดมากนัก
แต่หากปัญหานี้ไม่ได้รับการแก้ไขก็อาจส่งผลให้เกิดวิกฤตได้
เนื่องจากตุรกีในฐานะที่เป็นจุดยุทธศาสตร์ในการเชื่อมโยงทั้งยุโรปและเอเชีย
ได้เริ่มขยายความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับหลายประเทศ หากตุรกีล้มแล้ว แน่นอนว่าจะส่งผลต่อตลาดในอีกหลายประเทศก็เป็นได้
มาตรการตอบโต้และความช่วยเหลือ
ท่าทีการรับมือของตุรกีต่อเหตุการณ์นี้เป็นอีกสิ่งที่น่าสนใจ
เนื่องจากสะท้อนให้เห็นถึงการไม่ยอมลงให้สหรัฐฯ อย่างชัดเจน
แน่นอนว่าท่าทีแบบนี้จะทำให้เกิดความไม่พอใจจากสหรัฐฯ แต่ตุรกียังเลือกที่จะทำ มาตรการตอบโต้ที่รัฐบาลใช้ในกรณีนี้
หากมองในสองแง่มุม ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมือง
จะเห็นถึงความเชื่อมโยงกันอย่างมีนัยยะสำคัญ มาตรการทางเศรษฐกิจที่ใช้ไม่ว่าจะเป็นมาตรการของธนาคารกลางที่ออกมาช่วยธนาคารและสนับสนุนการลงทุน
การให้ประชาชนหันมาถือเงินลีร่าแทนดอลล่าร์ การหาเงินสนับสนุนจากประเทศอื่นๆ
เป็นต้น มาตรการทางเศรษฐกิจแบบนี้ แน่นอนว่า ในมุมมองนักเศรษฐศาสตร์จะมองว่าเป็นการแก้ไขปัญหาเพียงชั่วคราวเท่านั้น
หากต้องการแก้ไขควรใช้มาตรการอื่นๆ เช่น การปรับอัตราดอกเบี้ยแทน เป็นต้น
ขณะที่มาตรการตอบโต้ทางการเมืองดูจะเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดมากกว่า นับตั้งแต่การที่แอรฺโดก์อานประกาศว่าเหตุการณ์ครั้งนี้
ถือเป็นสงครามเศรษฐกิจ ที่ประชาชนชาวตุรกีต้องร่วมมือกับรัฐบาลในการรับมือ
และประกาศบอยคอตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ของสหรัฐฯ
และให้ประชาชนใช้สินค้าทางเลือกอื่นๆ
ขณะเดียวกันก็ส่งเสริมให้เกิดการผลิตมากขึ้นในสิ่งที่ได้รับผลกระทบ ตลอดจนการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ
บางรายการ เช่น ยาสูบ แอลกอฮอล์ และรถยนต์ รวมถึงเครื่องสำอางและข้าว เป็นต้น นอกเหนือจากนั้นยังเน้นย้ำว่าจะไม่ส่งตัวนักโทษคืน
เพราะสหรัฐฯเองก็เพิกเฉยกับการส่งตัวกุลเลนมาให้และยังสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธชาวเคิร์ดในซีเรียและอิรัก
ในเวลาเดียวกัน ยังมีการใช้เครื่องมือเชิงอำนาจอ่อนอื่นๆ จากตุรกีในการตอบโต้
ไม่ว่าจะเป็นการปราศรัยของแอรโดก์อานเองหรือรัฐมนตรีการคลังและรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ
รวมไปถึงการแสดงสัญญะเช่น
การปล่อยตัวประธานแอมเนสตี้ในตุรกีที่โดนจับข้อหาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มกุลเลนเช่นกัน
นักวิเคราะห์บางคนมองว่าการที่ตุรกีปล่อยตัวในเวลานี้เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าหากตุรกีบริสุทธิ์หรือหากต้องการปล่อยตัว
กระบวนการศาลก็เป็นเรื่องภายในของตุรกีโดยเฉพาะในมิติที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง หรือแม้แต่การเรียกประชุมประเทศที่เกี่ยวข้องเรื่องปัญหาซีเรียยกเว้นสหรัฐฯ
เป็นต้น
อีกหนึ่งการตอบโต้ที่สำคัญคือ
การแสดงสัญญะของตุรกีว่า ตุรกีสามารถหาตลาดทางเลือกอื่นๆได้ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย
จีน ประเทศในกลุ่ม BRICS หรือแม้แต่ประเทศในตะวันออกกลางอย่างกาต้าร์เอง
หลังจากการขึ้นภาษีจากสหรัฐฯ กาต้าร์ก็ประกาศให้เงินลงทุนในตุรกี 15 พันล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ ขณะที่รัสเซียประกาศลดข้อจำกัดด้านการขอวีซ่าเพื่อให้ชาวรัสเซียกลับมาท่องเที่ยวในตุรกีมากเช่นก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์ยิงเครื่องบินรัสเซียตก
หรือการประกาศประณามการกระทำของสหรัฐฯจากอิหร่าน
และการประกาศสนับสนุนเศรษฐกิจของตุรกีของเยอรมันและธนาคารยุโรป เป็นต้น
กลุ่มประเทศมุสลิมที่เคยได้รับการสนับสนุนและการช่วยเหลือจากตุรกีก็ไม่เห็นด้วยกับสหรัฐฯ
และประกาศจุดยืนการถือเงินลีร่า เป็นต้น แม้ว่าการสนับสนุนบางอย่างอาจไม่ได้ส่งผลมากนักต่อการช่วยปรับค่าเงินตุรกีให้คงที่เวลานี้
แต่ก็เป็นสัญญะของท่าทีการช่วยเหลือในอนาคตหากเหตุการณ์บานปลายที่เห็นได้ค่อนข้างชัด
บทสรุป:
แนวโน้มของตุรกีและความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ
หากดูข้อมูลตั้งแต่อดีตที่ผ่านมา
จะเห็นว่าหลายครั้งที่ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับสหรัฐฯ อยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้า
คายไม่ออก แต่ก็สามารถผ่านมาได้ ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ
และตุรกีในฐานะสมาชิกนาโต้ เป็นสิ่งที่ยากที่จะกลายเป็นศัตรูถาวรต่อกัน
อย่างที่ประโยคคลาสสิคในการเมืองระหว่างประเทศว่าไว้ว่า “ไม่มีมิตรแท้
และศัตรูถาวร” ความสัมพันธ์ของตุรกีกับเหล่าประเทศมหาอำนาจก็เป็นเช่นนั้น
แม้ว่าตุรกีจะมีปัญหากับสหรัฐฯ ในหลายประเด็นก่อนหน้ารวมถึงประเด็นนี้
กับยุโรปในประเด็นผู้ลี้ภัยและปัญหาทางการเมืองหลายครั้ง
กับรัสเซียในประเด็นยิงเครื่องบินตกถึงขั้นเคยลดความสัมพันธ์ทางการทูตและแบนสินค้าและการท่องเที่ยว
หรือกับจีนในปัญหาเรื่องชาวอุยกูร์ซึ่งตุรกีสนับสนุน
แต่ตุรกีก็มีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ที่ไม่สามารถมองข้ามได้
ไม่ว่าจะเรื่องการแก้ไขปัญหาซีเรีย ผลประโยชน์เรื่องแก๊ซที่ผ่านตุรกีสู่บอลข่าน
ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจบางประการ ปัญหาผู้ลี้ภัยที่ตุรกีรับไว้อยู่
รวมไปถึงการค้าและการลงทุนที่ตุรกีทำเพิ่มมากขึ้นกับหลายๆ ประเทศ
เหล่านี้ทำให้การทำลายตุรกีจึงอาจไม่ใช้เป้าหมายสำหรับประเทศมหาอำนาจเหล่านี้
เพราะในแง่หนึ่งตุรกียังมีความสำคัญและผลประโยชน์ร่วมกันอย่างเห็นได้ชัด
แต่แน่นอนว่าท่าทีของแอรฺโดก์อานเองก็ไม่ได้เป็นที่ชื่นชมในประเทศเหล่านี้
เมื่อมีโอกาสจึงจำเป็นต้องแสดงสัญญะบางประการเพื่อตักเตือน ถึงที่สุดความสัมพันธ์ของตุรกีกับสหรัฐฯเองก็คงไม่ต่างกันนักเมื่อมองภาพความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีกับรัสเซียในประเด็นขัดแย้งก่อนหน้านี้
แต่ความสัมพันธ์ในเวลานี้ก็เริ่มกลับมาดีขึ้น
แต่อย่างไรก็ตามยังต้องรอดูต่อไปว่าสหรัฐฯจะปล่อยให้ปัญหานี้ยาวนานแค่ไหน
นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าเป็นไปได้สูงที่สถานการณ์อาจดีขึ้นก่อนหรือหลังการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐฯ
ที่จะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ หลายคนนมองว่า แค่เพียงประเด็นของแอนดริว แบรนซัน
ซึ่งถูกจับตั้งแต่ปี 2016 ไม่น่าจะใช่เหตุผลที่แท้จริงสำหรับท่าทีของสหรัฐฯ
หากแต่เป็นเครื่องมือหนึ่งที่สหรัฐฯสามารถใช้ได้ในเวลานี้ เพื่อเรียกร้องกระแสชาตินิยมในประเทศให้เกิดขึ้น
โดยที่การวิเคราะห์ของนักวิชาการระหว่างประเทศหลายท่านมักมองว่า
การแซงชั่นทางเศรษฐกิจ เป็นเรื่องที่คาดการณ์ได้ชัด
เมื่อการทูตหรือการใช้โฆษณาชวนเชื่อ แม้แต่เครื่องมือของอำนาจอ่อนอื่นๆ
รวมไปถึงการโจมตีโดยอ้อมไม่ประสบผลสำเร็จ
ขณะเดียวกันในภาวะที่อำนาจแข็งผ่านการทหารไม่สามารถทำได้ง่ายนัก
ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลเรื่องศักยภาพทางทหารของอีกฝ่าย หรือ การที่อีกฝ่ายไม่ได้เป็นรัฐที่ล้มเหลว
(failed state)
เช่นเดียวกับที่แอรฺโดก์อานเองก็ใช้เหตุการณ์ครั้งนี้ในการปลุกกระแสชาตินิยมของชาวเติร์ก
ที่มักจะสู้ไม่ถอย เช่นเดียวกับกรณีที่ประชาชนออกมาสู้ในการต่อต้านการปฏิวัติปี 2016 ในขณะเดียวกัน การมองว่าปัญหาเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการคุกคามของต่างประเทศ
ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะเป็นการผลักเหตุผลของปัญหาเศรษฐกิจในการตอบคำถามของประชาชนได้ในระดับหนึ่งก็เป็นได้
แต่อย่างไรก็ตามปฏิเสธไม่ได้ว่าผลที่เกิดขึ้นจะทำให้ชาวตุรกีไม่น้อยที่ได้รับผลกระทบและไม่พอใจ
สิ่งที่น่าสนใจในอนาคตจากกรณีนี้อาจไม่ใช่เพียงความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีและสหรัฐฯเพียงอย่างเดียว
หากแต่เป็นคำถามต่อความเป็นพันธมิตรที่เห็นในเวลานี้
ถึงที่สุดแล้วจะเป็นพันธมิตรได้ถึงระดับไหนสำหรับประเทศมหาอำนาจในกลุ่ม BRICs หรือแม้แต่กับประเทศอื่นๆ ที่ตุรกีเคยให้ความช่วยเหลือมาก่อน
เห็นชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคปัจจุบันไม่สามารถตอบคำถามนี้อย่างชัดเจน
หากแต่ตอบได้ว่าในแต่ละสถานการณ์คงขึ้นอยู่กับการได้รับหรือการเสียผลประโยชน์ก็อาจเป็นได้
ฉะนั้นแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างตุรกีและประเทศทางเลือกอื่นๆ ที่เป็นพันธมิตรในครั้งนี้ก็ไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าจะไม่เกิดความขัดแย้งกันในอนาคต
สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งคือ
หากมองข้ามปัญหาระหว่างตุรกีและสหรัฐฯแล้ว
ปัญหาเศรษฐกิจที่เปราะบางภายในตุรกีเองเป็นข้อท้าทายที่สำคัญยิ่งกว่าสำหรับตุรกีภายใต้ระบอบประธานาธิบดี
และภายใต้ประธานาธิบดีแอรฺโดก์อาน อย่างน้องก็อีกภายใน 5
ปีข้างหน้านี้ รัฐบาลคงไม่สามารถหาเหตุผลในการบอกประชาชนว่าประเทศอื่นเป็นต้นเหตุของปัญหาได้ทุกครั้ง
แต่มาตรการแบบไหนที่ตุรกีจะใช้ หากไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยหรือกู้ยืม IMF นอกเหนือจากการได้รับเงินสนับสนุนการลงทุนจากประเทศพันธมิตรแล้ว
มาตรการระยะยาวนี้เป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย ขณะเดียวกัน
การรับมือกับข้อท้าทายที่ตุรกีอาจต้องรับมือหนักขึ้นในอนาคต
หากยังคงมีการแสดงสัญญะของการต่อต้านที่เห็นชัด สำหรับตุรกียิ่งเป็นความหวังของโลกมุสลิมมากเท่าไหร่
ยิ่งทำให้ความท้าทายที่ตุรกีต้องเผชิญยิ่งหนักขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าในแง่หนึ่ง
“คุณค่า” หรือ “กรอบคิดสากล” บางชุด ถูกวางไว้ในแบบตะวันตก ก็อาจส่งผลให้เกิดการผลัก
“ความต่าง” หรือ “ความคิดที่ไม่เหมือน” ออกไป ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกใจมีคนไม่น้อยที่ทั้งเชียร์
และ ซ้ำเติมตุรกี ฉะนั้นแล้วการรับมือกับผลของนโยบายต่างประเทศที่แข็งกร้าวขึ้นภายใต้แอรฺโดก์อานก็เป็นอีกข้อท้าทายสำคัญสำหรับตุรกีเช่นกัน
แต่อย่างไรก็ตาม
เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพื่อเป็นมาตรการตอบโต้ระหว่างกัน
ก็อาจเป็นที่คาดเดายากว่าจะไปถึงจุดไหน ล่าสุดในวันที่ 20 สิงหาคม เกิดเหตุการณ์การยิงเข้าไปในสถานทูตสหรัฐฯในอังการ่า
ซึ่งการตอบโต้ของสหรัฐฯ ครั้งนี้จะเป็นอย่างไรก็เป็นสิ่งที่น่าติดตามไม่น้อย แม้ว่าในวันก่อนหน้าก็ยังเห็นข่าวจากรัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศที่ว่าจะเดินหน้าโรดแม๊พมันบิจญ์ในประเด็นเกี่ยวกับการลาดตระเวนร่วมกันกับสหรัฐฯในอิรักตอนเหนือ
[1] Erkin
Sahinoz. How
could Turkey overcome its currency woes?.
Retrieved on 17 August 2018 from https://www.aljazeera.com/indepth/opinion/turkey-overcome-currency-woes-180814152206750.html
[2] อารยะ ปรีชาเมตตา. 2561. วิกฤติค่าเงินของตุรกี: เมื่อการเมืองนำเศรษฐกิจ. เข้าถึงเมื่อวันที่ 17 สิงหาคม
2561 จาก http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/645307
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น